สองคลิปพิเศษ และเรื่องย่อ (ฉบับเต็ม) ของ Gangster Squad – แก๊งสเตอร์ สควอด หน่วยกุดหัวแก๊งสเตอร์


ที่ลอส แองเจลิส เมื่อปี 1949 มิคกี้ โคเฮ็น ราชาผู้ทรงอิทธิพลชาวบรูคลินผู้โหดเหี้ยม (ฌอน เพ็นน์) ดำเนินธุรกิจในเมืองแห่งนี้โดยการตักตวงผลประโยชน์โดยมิชอบจากยา ปืน โสเภณี และหากเขามีช่องทางที่รวมถึงการรับพนันทางโทรศัพท์ที่อยู่ทางตะวันกของชิคาโก ซึ่งเขาลงมือทุกอย่างโดยไม่ได้รับการคุ้มกันจากมือปืนรับจ้างส่วนตัวของเขาเท่านั้น แต่รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ นักการเมือง และผู้ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาด้วย เท่านั้นก็เพียงพอที่จะขู่ขวัญตำรวจผู้โชกโชนและกล้าหาญได้แล้ว… เว้นแต่ทีมงานลับขนาดย่อมนอกวงการของ LAPD ที่นำโดย จ่า จอห์น โอ’มาร่า (จอช โบรลิน) และเจอร์รี่ วูเทอร์ส (ไรอัน กอสลิง) ผู้ร่วมมือกันเพื่อพยายามทำลายล้างโลกของโคเฮ็นให้สิ้นซาก

ภาพยนตร์เรื่อง “The Gangster Squad” อยู่ภายใต้การกำกับของรูเบ็น เฟลสเชอร์ ภาพยนตร์ถ่ายทอดเหตุการณ์ที่กรมตำรวจลอสแองเจลิสพยายามทวงเมืองคืนจากหัวหน้ามาเฟียตัวฉกาจนิรันดร์กาล นำแสดงโดย จอช โบรลิน ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar® (“Milk,” “True Grit”) และ ไรอัน กอสลิง (“Half Nelson,” “Drive”) และฌอน เพ็นน์ ผู้คว้ารางวัล Academy Award® (“Milk,” “Mystic River”) รับบทเป็น มิคกี้ โคเฮน และรวมถึง นิค โนลเต้ ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar® (“Affliction,” “Warrior”) เอ็มม่า สโตน, แอนโธนี่ แม็คกี้, จิโอแวนนี่ ริบิซี่, ไมเคิล พีน่า, โรเบิร์ต แพทริค และ มีเรียล อีนอส

บทภาพยนตร์โดย วิล บีอัล สร้างขึ้นหนังสือของพอล ไลเบอร์แมน Gangster Squad อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดย แดน ลิน, เควิน แม็คคอร์มิค และไมเคิล แทดรอส อำนวยการสร้างบริหารโดย รูเบ็น เฟล็ชเชอร์, พอล ลายเบอร์แมน และ บรูซ เบอร์แมน

ผู้ร่วมงานเบื้องหลังฉากกับเฟล็สเชอร์เป็นประจำ อาทิเช่น ผู้ออกแบบฉาก เมเฮอร์ อาหมัด และ ผู้ลำดับภาพ อลัน บอมการ์เท็น รวมถึงผู้กำกับภาพ เจมส์ เฮอร์เบิร์ต, ดิออน บีเบ้ เจ้าของรางวัล Academy Award® (“Memoirs of a Geisha”) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แมรี่ โซเฟรส ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar® (“True Grit”) ประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์โดย สตีฟ จาบลอนสกี้

วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ร่วมกับวิลเลจ โรดโชว์ พิกเจอร์ส ภาพยนตร์โดย Lin Pictures/Kevin McCormick Production เรื่อง “The Gangster Squad” จัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส หนึ่งในกลุ่มบริษัทเวอร์เนอร์ บราเดอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ และในบางพื้นที่โดยวิลเลจ โรดโชว์ พิกเจอร์ส

gangstersquadmovie.co.uk

รายละเอียดการสร้าง

จ่าจอห์น โอมาร่า

เราไม่ได้มาทำคดีที่นี่

เรากำลังจะเข้าไปรบ

ไร้ชื่อ ไร้ตรา ไร้ความปรานี

ภาพยนตร์เรื่อง “Gangster Squad” เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นที่เล่าเรื่องราวของกลุ่มชายที่มาทวงคืนความถูกต้อง ทวงสิ่งที่เป็นของพวกเขา ทวงความศรัทธาเชื่อมั่นเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง และปกป้องเมืองลอสแห่งสวรรค์อันเป็นที่รักของพวกเขา

เพื่อเป็นการผดุงกฏหมายในลอสแองเจลิส สมาชิกแก๊งสเตอร์สควอดซึ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจลอสแองเจลิสต้องรับภารกิจลับในการโค่น มิคกี้ โคเฮน มาเฟียแห่งอาชญากรรมตัวฉกาจสำคัญของเมืองลงให้ได้ ภาพยนตร์เรื่อง “Gangster Squad” ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริง มีการบรรยายถึงยุคทองแห่งมนต์เสน่ห์ของฮอลลีวูดในปี 1949 และเป็นช่วงที่เกิดความโกลาหลขึ้นครั้งยิ่งใหญ่ที่ลอสแองเจลิส โคเฮนครองเมืองและรัฐบาลส่วนท้องถิ่นได้อย่างอยู่หมัด จึงต้องใช้ความกล้าอย่างมาก มันจะไม่มีเกียรติในนั้นและไร้การปกครอง

รูเบ็น เฟล็สเชอร์ ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์ ผู้จบการศึกษาเอกด้านประวัติศาสตร์ อดใจรอการสืบค้นในโลกใบนั้นแทบไม่ไหว “มันเป็นช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้น มีศิลปะการตกแต่งในช่วงหลังที่งดงาม ตัวเมืองมีการปรับสภาพใหม่และขยายตัวออกไป” เขากล่าว “มีการยกย่องในชัยชนะ ผู้คนได้กลับบ้าน เศรษฐกิจพลิกฟื้นกลับมา ผมหลงใหลในยุคนั้นมาโดยตลอด เมื่อมีโอกาสได้ทำการสำรวจ ผมจึงโดดเข้าใส่เลย”

ผู้อำนวยการสร้างฯ แดน ลิน เล่าว่า “รูเบ็นอยากใส่ความแปลกใหม่ลงไป โดยใช้ศิลปะการสร้างภาพยนตร์แบบใหม่ไปประยุกต์ใช้กับฉากแนวพีเรียด ใส่ความทันสมัยลงไปในเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยก่อน เมื่อตอนที่คนดีต้องทำตัวเกะกะระรานเพื่อโค่นอันธพาล”

และพวกเขาก็ทำได้ เป็นการต่อกรกับเหล่าร้ายภายใต้การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ เพื่อให้เข้าถึงอินเนอร์ของโคเฮนที่ไม่ปรากฏบนหนังสือ

จอช โบรลิน ผู้รับบทเป็นสิบเอก จอห์น โอ’มาร่า หัวหน้าแก๊งเล่าว่า “ในภาพยนตร์ตัวละครของผมปฏิบัติหน้าที่มาจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาต่อสู้เพื่อสร้างความมั่นคงให้ประเทศและอื่นๆ เพื่อคงอิสรภาพของพวกเขาเอาไว้ เขาเป็นวีรบุรุษผู้กล้า จากนั้นเขากลับบ้านในแอล.เอ.แล้วพบว่ามิคกี้ โคเฮนเปลี่ยนเมืองของเขาจนสิ้นเกียรติ เขาจึงไม่ปฏิเสธเมื่อผู้บังคับบัญชาขอความช่วยเหลือจากเขาเลย และเพราะโอ’ร่ากับคนอื่นๆ ปฏิบัติการลับ จึงไม่กังวลเรื่องภาระหน้าที่ใดๆ ไม่มีการคิดว่า ‘ถ้าเราทำแบบนี้ต้องถูกดำนินคดีแน่’ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องทำตัวเลวไม่ต่างจากโจร เพราะนี่คือวิธีเดียวที่จะเข้าถึงพวกเขาได้”

“เหมือนพวกเขาต้องจำยอมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะทุกคนรอบตัวเขาอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ ไม่ง่ายเลยที่จะอยู่ด้านธรรมะของกฏหมาย” ไรอัน กอสลิง รับบทเจ้าหน้าที่ผู้ฝืนใจลงรายชื่อปฏิบัติหน้าที่ในตอนแรก เล่าว่า “บางคนเลือกว่าจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ และเฝ้าดูเมืองของพวกเขาถูกพรากไป พวกเขาจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง บางคนรับความอยุติธรรมไม่ได้ รู้สึกว่าต้องแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด ส่วนอื่นๆ เช่นตัวละครของผมก็มีเหตุผลส่วนตัว”

“ยุคนั้นมีการเปลี่ยนวัฒนธรรมเกิดขึ้นจริง และต้องจัดการบางสิ่งให้เสร็จสิ้น” ลินเล่าว่า “พวกอันธพาลครองนิวยอร์คและชิคาโก้ไปแล้ว เป้าหมายต่อไปคือที่แอล.เอ. ซึ่งเป็นดินแดนสวรรค์ในฝันอันธพาลทุกคน มีท้องฟ้าสดใส แดดส่องชายหาด และผู้หญิงสวยๆ”

เอ็มม่า สโตน รับบทเป็นนักแสดงผู้ปรารถนาจะเป็นสาวมาเฟีย เธอชอบใจบททันทีเมื่อได้อ่านบทภาพยนตร์ “ในหนังมีทั้งความโรแมนติก เต็มไปด้วยหมอกควันและความรู้สึกย้อนยุค พร้อมกับฉากแอ็คชั่นที่ดุเดือดและน่าตื่นเต้นหลายฉาก ฉันเข้าใจความรู้สึกทันทีเลยว่า การตกอยู่ในเหตุการณ์ช่วงนั้นจะเป็นอย่างไร”

ภาพนตร์สร้างขึ้นจากหนังสือเรื่อง Gangster Squad ของ พอล ลายเบอร์แมน อดีตผู้เขียนและบก.แห่ง Los Angeles Times เขามีการบรรยายเรื่องราวที่เรียกว่า “การต่อสู้เพื่อลอสแองเจลิส” ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่มของโคเฮนตั้งแต่กลางปี 1940 มาจนถึงยุค 50 โดยมี วิล บีอัล อดีตนักสืบคดีฆาตกรรมแห่งกรมตำรวจลอสแองเจลิสเป็นผู้เขียนบทฯ

“จุดที่กินใจผมเกี่ยวกับพวกเขาคือ เขาพร้อมเสี่ยงทุกอย่าง ไม่ได้ทำเพื่อการยอมรับ เหรียญตรา หรือเงินทอง แต่เพื่ออนาคตของเมือง” บีอัลเล่าว่า “พวกเขาศรัทธาในคำมั่นของแอล.เอ.”

“ผมอยากทำหนังแก๊งสเตอร์มาโดยตลอด” ไมเคิล แทดรอส ผู้อำนวยการสร้างฯ กล่าว “ฮัมฟรีย์ โบการ์ต, จิมมี่ แคกนีย์, จอร์จ ราฟต์ ผมชอบทุกคนมาก บทของวิลทำให้เห็นแนวและยุคสมัยตั้งแต่หน้าแรก เหตุการณ์จริงและตัวบุคคลที่ลายเบอร์แมนเขียนถึง ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เรื่องมีความน่าเหลือเชื่อ เราอยากสร้างหนังแก๊งสเตอร์ที่มีความเป็นธรรมชาติขึ้นมาเพื่อผู้ชมสมัยใหม่”

เควิน คอร์มิค ผู้อำนวยการสร้างฯ เล่าว่า “ในหนังสือเหมือนกับบทความที่พอลเขียนเอาไว้ใน L.A. Times ซึ่งเป็นส่วนสำคัญ ครอบคลุมพื้นที่ค่อนข้างมากและเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่มุมหนึ่งซึ่งเป็นจุดสำคัญคือ บิล พาร์คเกอร์ ที่เข้ามารับบทหัวหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้คอยสอดส่องดูแลเมือง ได้กลายเป็นมุมมองที่เป็นธรรมชาติ เพื่อสร้างขอบเขตเรื่องของเราขึ้นมา”

ลายเบอร์แมนเล่าว่า “แอล.เอ.เป็นที่ตั้งมั่นที่เปื้อนมลทินในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จนถึงช่วงยุคต้องห้ามในปี 20 ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอนาคตแห่งอุตสาหกรรมการผลิตอาวุธและการบิน ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จนปลายปี 1940 แอล.เอ.กลายเป็นเมืองที่มีความทันสมัย ไม่มีระบบระเบียบ มีผู้คนนับล้านที่ถูกรังแกจากมาเฟียตะวันออก ช่วงที่หัวหน้าวิเลียม พาร์คเกอร์มาปฏิบัติภารกิจคือช่วงวิกฤติที่สุด เขาเป็นคนเคร่งขรึม ระเบียบจัด และพวกเขาตั้งใจยุติเรื่องการทุจริต”

นิค โนลเต้ ผู้รับบทนี้ในเรื่อง “Gangster Squad” โดยบท “วิสกี้ บิล” พาร์คเกอร์เป็นผู้ชายที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้มลทินใดๆ อย่างหลายสิ่งก่อนที่เขาจะมารับภารกิจ เขาจะเผชิญหน้ากับพวกทุจริตอย่างเต็มรูปแบบ นั่นหมายถึงการโค่นวายร้ายชื่อดัง มิคกี้ โคเฮน ซึ่งมาสร้างสีสันบนจอโดย ฌอน เพ็นน์

“ผมคิดว่ามันเป็นหนังแก๊งสเตอร์สมัยก่อนที่มีความสนุกสนาน พร้อมกับนักแสดงที่ผมมีความชื่นชมมาก” เพ็นน์กล่าว “และพอได้พบกับรูเบ็น เฟล็สเชอร์ ผมก็ตกลงเลย”

“ตัวละครเหล่านี้และนักแสดงผู้เซ็นสัญญามารับบทตัวละครเหล่านี้ในเรื่อง ประเด็นของเรื่องที่สร้างขึ้นจากประวัติศาสตร์ของเมือง และที่สำคัญสุดคือนี่เป็นหนังแนวโปรดของผม” เฟล็สเชอร์ยิ้ม “ทุกอย่างทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นกับการสร้างหนังเรื่องนี้มาก”

จ่าจอห์น โอมาร่า

ผมต้องคัดสรรบุรุษบางคน

ในหน่วยงานใหม่กลุ่มเล็กๆ สัก 5-6 คน

เราจะไปล่าตัวมิคกี้ โคเฮน

เนื่องจากมีการทุจริตขึ้นอย่างแพร่หลายในทุกระดับ ผบ.พาร์คเกอร์ไม่สามารถใช้อำนาจของกรมตำรวจลอสแองเจลิสได้ มิคกี้ โคเฮนและสมุนของเขา หรือแม้แต่การตามล่าตัวพวกเขาอย่างเปิดเผย ปาร์คเกอร์ต้องพึ่งพาคนไม่กี่คน เพื่อทำลายปฏิบัติการมาเฟีย คำสั่งของเขาบัญญัติให้ไม่ต้องใช้หมายค้น และไม่ต้องมีการจับกุม พวกเขาต้องไม่มีการระบุตัวตน มีความอำมหิตให้มากที่สุด ทำลายปากท้องของโคเฮนโดยทุกทางที่เป็นไปได้ พวกเขาไม่ได้พาเขาไปหาความยุติธรรม แต่นำความยุติธรรมมาให้เขา

สำหรับการปกปิดทีมนี้เอาไว้ พาร์คเกอร์ต้องเลือกคนที่ไม่มีปัญหาด้วยการจัดการโดยมือของเขา จอช โบรลิน รับบทเป็นสิบเอกจอห์น โอ’มาร่า ผู้กลับมาจากสงครามและนึกภาพการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่ออก

“ผมเป็นชาวแคลิฟอร์เนียรุ่นที่ 7 และเป็นชาวลอสแองเจลิสแต่เกิด จึงมีความภาคภูมิใจในบ้านเกิดของผมมาก” โบรลินกล่าว “ผมรู้สึกอินไปกับโอ’มาร่าด้วยเหตุผลนั้น และผมชอบตอนที่เขาไม่แยแสกฏ และไม่ชอบการเมือง เขามีหลักการปฏิบัติที่มั่นคง มองเห็นจุดบกพร่องที่ต้องแก้ไข และเขาเชื่อมั่นว่าจะเปลี่ยนสิ่งรอบตัวได้”

“โอ’มาร่าเป็นคนมีหลักการมาก เขาเพิ่งกลับบ้านมาหลังอเมริกาเอาชนะพวกนาซีได้” เฟล็สเชอร์เล่าว่า “เขาไม่ชอบใจที่มีปีศาจในคราบอื่นมาครองถิ่นฐานในเมืองของเขา และสร้างความตกต่ำด้วยการพนัน โสเภณี และยาเสพติด เขาทนรับมันไม่ไหวจึงตอบรับคำขอของพาร์คเกอร์ แม้ว่าจะเป็นการเอาชีวิตของเขาและครอบครัวไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายก็ตาม”

แม็คคอร์นิคกล่าวว่า “เขารู้สึกว่าการทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นคือหน้าที่ของเขา แต่เขามองว่าคนอื่นไม่จำเป็นต้องยึดมาตรฐานเดียวกัน เขาไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่เพราะเขาไม่ยอมอ่อนข้อให้ความอยุติธรรมใด เขาเป็นพวกไร้ความยืดหยุ่น ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นจุดบกพร่องของตัวละครและทำให้เขามีความแตกต่าง ทำให้เขาเด่น นั่นคือมุมมองของพาร์คเกอร์”

แม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในกลุ่มกองกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวหลายนาย โอ’มาร่ากลับเลือกที่จะลุยเดี่ยวในแบบฉบับของเขา เหมือนพวกนอกรีตที่ชอบทำอะไรตามลำพัง บางครั้งถึงขั้นลุยแบบไม่ติดอาวุธก็มี “ในบทบรรยายถึงโอ’มาร่าไว้ว่า มีคางที่แข็งแกร่งจนเราเหวี่ยงหมัดไปแล้วกระดูกหักได้” เฟล็สเชอร์นึกย้อนกลับไปว่า “เวลาที่เราเห็นจอช เขาคือตัวละครนั้นเลย ดูเหมือนเขาก้าวออกมาจากยุคสมัยนั้น และแสดงบทด้วยความรอบคอบ ดูมีหลักการทรงอิทธิพลมาก”

สำหรับการลากโคเฮนออกมา โอ’มาร่าต้องร่วมมือกับทีมอย่างใกล้ชิด โดยหัวหน้าดึงเขามาอยู่ร่วมในบัญชีรายชื่อ “เขาถูกเกณฑ์เข้ากลุ่มคนทำตัวสวนกระแสแบบเขา” โบรลินเล่าว่า “คนชนชั้นล่างหรือมีแนวคิดนอกกรอบ เพราะพวกเขามีความรั้นอยู่ในตัว แต่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงไปได้ แม้จะมีความอำมหิตบ้างในบางทีก็ตาม”

บุรุษคนแรกเขาขอความช่วยเหลือจากจ่าเจอร์รี่ วูทเตอร์ส ชายผู้โดดเดี่ยวที่รับบทแสดงโดยไรอัน กอสลิง “จนถึงตอนนี้โอ’มาร่าก็ไปไม่ถึงไหน ถูกรังแกและกำลังจับกุมคนบางคนในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ขณะที่ตัวละครของผมนั่งมองอยู่ตรงเก้าอี้ในบาร์” กอสลิงเล่าว่า “เจอร์รี่เองก็เพิ่งกลับมาจากสงครามและพบว่าทั้งเมืองจมอยู่ใต้บาดาล แต่เหมือนที่เขาพูดในภาพยนตร์ โอ’มาร่าเลือกหยิบถังน้ำแต่เขาเลือกที่จะหยิบชุดอาบน้ำ”

นั่นคือเหตุผลที่วูทเตอร์สปฏิเสธโอ’มาร่าในช่วงแรก “เขาไม่พยายามทำตัวเป็นฮีโร่” นักแสดงเล่าต่อว่า “เขาไม่มีความฝันถึงเรื่องนั้นเลย ผมว่าเขารู้สึกเหมือนตัวเองเคยผ่านศึกข้ามน้ำข้ามทะเลมา แล้วที่นี่เกิดการทุจริตขึ้นหลายอย่าง มันดูไร้ที่มาที่ไป เขาพยายามอยู่เหนือสถานการณ์และคุมสติเอาไว้”

“ไรอันเป็นคนที่มีเสน่ห์มาก ดูแล้วเพลินตาสุดๆ” เฟล็สเชอร์เล่าว่า “เขาใส่มิติลงไปในตัวละครนี้ที่มีโลกส่วนตัวสูงมาก เขาชอบปลีกตัวอยู่กับการดื่มเหล้าและสาวๆ จนกระทั่งมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น และมีสงครามใหม่มาเสิร์ฟเขาถึงปลายเท้า เขารู้ว่าถ้าเขานิ่งเฉยจะเป็นการเอาเมืองเดิมพัน เขามีหน้าที่ในฐานะของพลเมืองคนหนึ่งและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ต้องทำอะไรสักอย่าง”

“วูทเตอร์สไม่ได้ถูกเลือกเข้ากลุ่มเพราะเขายิงปืนแม่น เก่งเรื่องต่อสู้หรือด้านกลยุทธ” กอสลิงเล่าต่อว่า “เขาได้มารับหน้าที่เพราะมีไหวพริบและรู้วิธีเอาตัวรอด”

แต่เจอร์รี่ วูทเตอร์สมีอีกแรงจูงใจหนึ่งในการเฝ้าจับตาดูโคเฮนอย่างใกล้ชิด นั่นคือ เกรซ ฟาราเดย์ ผู้ป้อนอาวุธให้มาเฟียคนปัจจุบัน แม้จะเห็นความเสี่ยงแต่วูทเตอร์สก็ต้านทานเธอไม่ไหว ไม่ต่างอะไรไปกับเกรซ

เอ็มม่า สโตนถูกดึงตัวให้มารับบทบาท เธอตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับผู้กำกับฯ เฟล็สเชอร์อีกครั้งหลังจากที่เคยแสดงในหนังของเขา เรื่อง “Zombieland” สโตนเล่าว่า “เรานั่งคุยกันถึงเนื้อเรื่องและตัวละครของฉัน ฉันตอบว่า ‘ไม่มีปัญหา เรามาร่วมงานกันเถอะ’ ฉันรักรูเบ็น เขาเป็นคนมีความกระตือรือร้นและถ่ายภาพออกมาสวยมาก”

เธอเล่าถึงตัวละครของเธอที่ผู้เขียนบทฯ วิล บีอัล สร้างขึ้นมาว่า “เธอออกจากฮอลลีวูดเพื่อมาเป็นดาว ไม่ใช่แค่ดารานะ แต่เป็นดาวเลยล่ะ” แต่เห็นได้ชัดว่าอะไรๆ กลับไม่เป็นไปตามแผน “ฉันนึกภาพเธอตกไปอยู่ในแก๊งค์ของมิคกี้ ซึ่งเป็นลูกมือของผู้ทรงอิทธิพลที่ทำให้เธอได้รับการเชิดชูอย่างที่ต้องการ เธอจึงปลอบตัวเองว่ามันดีแล้ว ถึงแม้ตอนนี้เธอจะรู้สึกเหมือนถูกวางกับดัก แต่เธอรู้ตัวว่าหากไม่มีเขา เธอคงมีเงินเพียงไม่กี่เหรียญอยู่ริมถนน”

“เอ็มม่าไม่ใช่นักแสดงหญิงเพียงคนเดียวที่เป็นคนตลกและมีอารมณ์ขันที่ผมเคยร่วมงานมาด้วย เธอเป็นผู้หญิงที่เราไม่อาจละสายตาไปไหนได้เวลาเธออยู่บนจอ นั่นคือมนต์เสน่ห์ที่บทนี้ต้องการ” เฟล็สเชอร์เล่าว่า “รัก 3 เศร้าระหว่างเกรซ มิคกี้และเจอร์รี่เป็นเรื่องลงตัวยาก เรามั่นใจไม่ได้เลยว่าแรงจูงใจของแต่ละคนคืออะไร ทั้งเธอและวูทเตอร์สกำลังหาทางออก ทั้งคู่ต่างมีความผูกพันกัน พวกเขาเกิดสปาร์คกันและทอดทิ้งกันไม่ลง ถึงแม้จะเสี่ยงแค่ไหนก็ตาม”

ทั้งเกรซและวูทเตอร์สมีสติมากพอจนรู้ตัวว่าพวกเขาไม่ใช่แค่รักกันเล่นๆ แต่ความรักของพวกเขาอาจเป็นบ่อนทำลาย หากพวกเขาปล่อยใจตัวเองอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น มิคกี้ โคเฮนอาจดูเหมือนผู้มีอิทธิพล แต่ภาพลักษณ์ของเขาในที่สาธารณะและบุคลิกที่ดูมีอำนาจทำให้เขาเป็นคนที่ไม่ควรมองข้าม…ทั้งเรื่องธุรกิจหรือความสนุกสนาน เขาโหดเหี้ยมกว่าสิ่งอื่นใด หากมีใครคิดทรยศจะต้องชดใช้ในราคาที่สาสม แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขามีเสน่ห์ที่มาพร้อมกับพลังอันยิ่งใหญ่

ลินเล่าว่า “ในชีวิตจริงโคเฮนเหมือนราชา เขาเป็นอันธพาลแต่เป็นอันธพาลระดับฮอลลีวูด เขาเป็นคนสนุกสนาน ชอบพูดคุยกับนักข่าว ส่วนในที่สาธารณะเขาก็ชอบสร้างความบันเทิงให้ผู้คน ราวกับตัวเองเป็นนักแสดงภาพยนตร์ที่คอยเรียกความชื่นชอบตลอดเวลา แต่แน่นอนว่าโดยส่วนตัวแล้วเขาทำธุรกิจมืดที่ชั่วร้าย”

เฟล็สเชอร์เล่าว่า “ตอนที่ผมนึกภาพหนังฉายอยู่บนจอ ตัวละครเดียวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกอย่างคือโคเฮน ซึ่งเป็นตัวร้ายที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ผมนึกถึงฌอน เพ็นน์ขึ้นมาทันที การได้เขามารับบทจึงเป็นเรื่องใหญ่มาก มิคกี้เป็นตัวละครที่มีแรงผลักดัน มีความโดดเด่นและโหดเหี้ยม ฌอนเองก็มีบารมี ความมุ่งมั่นและอารมณ์ขันในการแสดงออกมาได้”

ถึงแม้จะไม่คุ้นกับคนจริงแบบนี้ เพ็นน์เล่าถึงการตีความตัวละครของเขาให้ฟังว่า “ผมพยายามมองข้ามเหตุผล มิคกี้ โคเฮนตัวจริงคล้ายกับ อัล คาโปน ที่เดอ นีโรแสดงไว้อย่างน่าทึ่งในเรื่อง ‘The Untouchables’ ผมรู้สึกว่าผู้ชมส่วนใหญ่จะไม่รู้จักมิคกี้ โคเฮน การเลียนแบบโคเฮนในลักษณะและท่าทางคือหน้าที่สำคัญ ผมว่าการแสดงบทนั้นน่าสนุกดี ปล่อยให้มันเดินเรื่องจากจุดเล็กๆ ในภูมิหลังของโคเฮน เขาเป็นนักชกเจ้าของรางวัล แต่สไตล์การต่อสู้มีความเรียบง่ายกว่าทุกวันนี้ และโคเฮนมีความเรียบง่ายในหลากหลายด้านด้วย”

“ฌอนแสดงบทนี้ได้สมจริงมาก ในแง่ความเป็นจริงและบางมุมที่เราแต่งขึ้นมา เขาเป็นคนที่มีอีโก้สูงและมีสีสันมาก” แม็คคอร์นิคเล่าว่า “โคเฮนมีนักประชาสัมพันธ์ส่วนตัวคอยกระจายข่าวใน Life Magazine เขามีร้านขายเครื่องแต่งกายเป็นของตัวเองจึงไม่เคยสวมชุดซ้ำเกิน 2 ครั้ง มีบรรดาสาวสวยคอยควงแขนตลอดเวลา การตีความของฌอนสำหรับตัวละครนี้ช่างอัศจรรย์ ในยุคที่หนังแก๊งสเตอร์เฟื่องฟู คนเหล่านั้นคือตัวละครที่ติดตาตรึงใจ และผมคิดว่าฌอนมีความสามารถแบบนั้นที่ทำให้เราตกตะลึงได้”

“การแสดงของฌอนที่รับบท มิคกี้ โคเฮน มีบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจได้มาก” โบรลินเล่าว่า “ตอนดูเขาในฉาก ผมอดที่จะชอบเขาไม่ได้เลย แม้ว่าตัวละครผมจะดูถูกตัวเขาและทุกสิ่งที่เขายืนหยัด ฌอนสร้างเสน่ห์ให้เขาได้จริงๆ แม้กระทั่งตอนที่เขาทำเรื่องชั่วก็ตาม”

เนื่องจากโคเฮน โอ’มาร่า วูทเตอร์ส และตัวละครอื่นบางตัวถูกอิงมาอย่างไม่เคร่งครัด บางตัวเป็นการสร้างผสมผสานขึ้นมาซึ่งมีเอกลักษณ์อย่างแท้จริง ลินเล่าว่า “เราให้ความเป็นอิสระกับเนื้อเรื่องแบบที่ภาพยนตร์ทำกัน แต่เพื่อเป็นการให้เกียรติบุคคลที่มีตัวตนจริง เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่นักแสดงของเราต้องรู้ว่าจริงๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น เราอยากให้นักแสดงเข้าใจว่าช่วงนั้นมีหลายกลุ่มแตกต่างกันไปในหลายช่วงเวลา หน่วย Hat Squad และหน่วยข่าวกรองเหมือนกับแก๊งสเตอร์สควอด นิค โนลเต้ ผู้รับบท หัวหน้าตำรวจพาร์คเกอร์ยังเป็นเด็กอยู่ ช่วงเวลาที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำ แต่เขาศึกษาในโรงเรียนตำรวจจริงตามประวัติหน่วยตำรวจ”

“ลอสแองเจลิสเป็นเมืองที่จับต้องง่าย” โนลเต้นึกย้อนกลับไปว่า “พาร์คเกอร์เป็นผู้บังคับที่ดีและมีความฉลาด เขามีเรื่องกับบั๊กซี่ ซีเกิล ส่วนโคเฮนเป็นผู้ช่วยของซีเกิล เมื่อบั๊กซี่ไปลาสเวกัส โคเฮนจึงครองแอล.เอ. หนังเปิดตัวในช่วงที่โคเฮนเฟื่องฟูที่สุดในการควบคุมถนน Sunset ทำให้พาร์คเกอร์ต้องเผชิญหน้ากับเขา”

เมื่อมีผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ฉ้อฉล พาร์คเกอร์ต้องออกอุบายที่มีความแตกต่างไป “ไม่ใช่แค่แหกกฏเท่านั้นที่จะเข้าถึงตัวเขาได้ ต้องฉีกกรอบสังคมด้วย” โนลเต้ยืนยันว่า “เขาเห็นโอ’มาร่ารู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้น และหวังว่าเขาจะใช้ความรู้สึกนั้นมาทำให้ทุกอย่างไร้มลทิน”

“นิคเป็นดารายิ่งใหญ่ตลอดกาล” เฟล็สเชอร์เล่าว่า “เรานึกภาพบุรุษผู้แข็งแกร่งที่วางรากฐานให้กับหน่วยตำรวจกองนี้ _ไม่ออกหรอก บทภาพยนตร์บรรยายว่าเขาเป็นริชาร์ดใจสิงห์ และนิคก็แสดงเห็นภาพชัดเจน”

“ผมเคยร่วมงานกับนิคมาบ้างในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา” แทดรอสเล่าว่า “ไม่มีใครเก่งกว่านี้แล้ว เขาคือตำนานตัวจริง”

ขณะที่หัวหน้าเป็นคนเอ่ยปากชวนโอ’มาร่ามารวมกลุ่ม ผู้ที่ช่วยจ่าคัดเลือกสมาชิกแต่ละคนคือ คอนนี่ ภรรยาของเขาที่รับบทโดย มีเรียล อีนอส

“คอนนี่เป็นผู้หญิงที่ไม่ชอบพูดจาไร้สาระ” อีนอสเล่าว่า “เธอรู้ว่าสามีของเธอกลับจากสงครามด้วยหน้าที่บางอย่าง เธอพยายามช่วยเขาด้วยการมอบทางเลือกใหม่ที่ปลอดภัยกว่า เมื่อเธอรู้เรื่องหน่วยกุดหัวแก๊งสเตอร์ เธอถูกรังแก เธอมองว่ามันเหมือนการถูกประหารชีวิต เพราะเขาอาจทำให้เธอต้องเป็นม่ายและทิ้งให้ลูกต้องกำพร้าทั้งๆ ที่ยังไม่เกิดมา แต่เป็นเพราะเธอคือผู้หญิงที่รักเขา เธอเลือกที่จะยืนเคียงข้างเขาแทนที่จะต่อต้าน เธอมีส่วนสำคัญในการรวมสมาชิก”

เมื่อคอนนี่สังเกตุเห็นว่าโอ’มาร่าพยายามมองหาคนมีความสามารถในหน่วย เธอจึงเสนอแผนการที่แตกต่างออกไป นั่นคือการค้นหาบุรุษที่สอบตกเกือบทุกแห่ง บุคคลที่มีความโกรธ หยิ่งผยอง ไม่ชอบเล่นตามเกม ในความคิดของเธอคนแบบนั้นไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อของโคเฮน และจะช่วยปกป้องให้สามีของเธอปลอดภัยได้ หลังจากดูไฟล์เจ้าหน้าที่ที่เขาเอากลับมาที่บ้าน คนแรกที่เธอเลือกคือ โคลแมน แฮร์ริส เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีกำลังมหาศาล และระบบการควบคุมวินัย เป็นคนที่เธอเชื่อว่าจะได้รับการสนับสนุนจากโอ’มาร่า แอนโธนี่ แม็คกี้รับบทเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ชอบควงมีดพับที่ออกลาดตระเวนด้วยความภูมิใจในย่านที่เกิดอาชญากรรมชุกชุมที่สุดของเมือง

“ตัวละครของผมยอมทิ้งยศอันสูงส่งในกรมเพื่อเป็นตำรวจต่ำต้อย เพราะเขาอยากจัดการปัญหาต่างๆ จากที่ต้นตอ” มิคกี้กล่าว “เขาอยากไปบนท้องถนนชุมชนคนผิวดำ และสู้กับพวกค้ายา แต่โอ’มาร่าเสนอโอกาสให้เขาได้ก้าวไปถึงจุดสุดยอดในการจับกุมผู้ค้ายาให้พวกเด็กๆ”

“ผมสร้างตัวละคร โคลแมน แฮร์ริส ขึ้นมาเพราะผมรู้สึกว่าไม่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของลอสแองเจลิสในช่วงปลายยุค 40 ได้ และไม่มีการพูดถึงCentral Avenue, Jazz Corridor, วัฒนธรรมแอฟริกัน-อเมริกันที่มีเอกลักษณ์ของเมืองในยุคนั้น” บีอัล ผู้เขียนบทภาพยนตร์ฯ เล่าว่า “แฮร์ริสเป็นคนที่รู้เห็นโลกใบนั้น และก้าวออกมาจากอนาคตที่สดใสเพื่อทำหน้าที่แทนกฏหมายในบางแห่งของแอล.เอ. ที่คนอื่นที่เหลือในกรมไม่ให้ความสนใจ”

ด้วยเหตุผลส่วนตัวในการช่วยโอ’มาร่ากำจัดองค์กรอาชญากรรมของเมือง แฮร์ริสจึงรีบเข้ามามีส่วนร่วม การได้ตัวเจ้าหน้าที่คู่หู คอนเวล คีเลอร์ มาร่วมมือด้วยแทบไม่ต้องเกลี้ยกล่อมมากเลยเช่นกัน แม้ว่าเขาจะมีครอบครัว ซึ่งตอนแรกโอ’มาร่ามองว่าเป็นอุปสรรค แต่คีเลอร์เห็นโอกาสในการช่วยล้างมลทินของเมืองเป็นเหตุผลที่มีคุณค่าต่อลูกหลาน คีเลอร์ยังนำความพิเศษมาโชว์ให้เห็นอีกด้วยนั่นคือ เทคโนโลยี

“มีอุปกรณ์ล้ำสมัยหลายชนิดที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นำมาใช้กันในวงการตำรวจสมัยก่อน” เฟล็สเชอร์เล่าว่า “คีเอร์เป็นช่างไฟที่ติดเครื่องดักฟัง และฟังการสนทนาของโคเฮน” อันที่จริงแล้วผลงานของคีเลอร์ช่วยสร้างรากฐานการตรวจตราในด้านอิเล็กทรอนิกส์ของวงการตำรวจตลอดช่วงเวลานับศตวรรษ

คีเลอร์ในภาพยนตร์รับบทแสดงโดย จิโอแวนนี่ ริบิซี่ ซึ่งต้องมีความชำนาญด้านอิเล็กทรอนิกส์ ผู้มีการคัดกรองข่าวอย่างทันสมัยในช่วงสงคราม ต้องใช้อุปกรณ์ล้ำสมัยและต้องรู้วิธีการใช้ให้เกิดประโยชน์ต่องานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

“การคุยกันระหว่างรูเบ็นกับผมในช่วงแรกเป็นเรื่องของตัวละคร เขามองตัวละครว่าเป็นสติสัมปชัญญะของกลุ่ม” ริบิซี่จดจำได้ว่า “สำหรับผมมันเป็นการถ่ายทอดถึงคนที่อยากต่อสู้เพื่อบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง เพื่อสิ่งที่เขาศรัทธา มันเป็นเรื่องของความไร้มลทิน ทุกวันนี้เราทำอะไรเพียงปลายนิ้วได้หลายอย่าง ผมว่าบางทีเราลืมช่วงเวลาก่อนมีโทรศัพท์มือถือกันไปแล้ว การติดต่อกับใครสักคนเราต้องไปเคาะประตูหน้าบ้านหรือเขียนจดหมายถึงกัน สนุกดีที่ได้รับบทเป็นคนที่มองเห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้นก่อนที่คนอื่นจะลงมือทำ และหยิบมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อเขาและกฏหมาย”

ระหว่างที่คีเลอร์เป็นตัวแทนของเจ้าหน้าที่ตำรวจในอนาคต แม็กซ์ เค็นนาร์ดฟังเรื่องราวในอดีตอย่างสนใจว่า “รูเบ็นต้องการรวมผู้รักษากฎหมายที่มีสไตล์ตะวันตกแบบสมัยก่อนเข้าไปในกลุ่มด้วย ซึ่งมันสร้างความสนใจให้ผมได้มาก” โรเบิร์ต แพทริค นักแสดงผู้รับบทเป็น แม็กซ์ ยืนยันหนักแน่นว่า “ผมดูหนังตะวันตกสมัยก่อนหลายเรื่อง เลือกลักษณะท่าทาง และลดน้ำหนักราว 30 ปอนด์เพื่อให้ผมดูเหมือนคาวบอยร่างบาง”

เค็นนาร์ดต้องออกลาดตระเวนOlvera Streetและเป็นที่ปรึกษาให้กับเจ้าหน้าที่หนุ่มชาวลาตินผู้กระตือรือร้นอย่าง นาวิแดด รามิเรซ “ยุคนั้นมีเรื่องความอคติทางเชื้อชาติอยู่มาก” แพทริคเล่าต่อว่า “แต่ตัวละครของผมเป็นชาวเท็กซัสที่อึดผู้มองนาวิแดดเหมือนลูกชายคนหนึ่ง ตอนนั้นเขาตกลงร่วมงานด้วยในขณะที่มีอีกหลายคนไม่ยอม เรื่องราวของพวกเขาเป็นมุมดีๆ เล็กๆ ในเรื่องราวที่ใหญ่กว่า ผมภูมิใจมากท่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง”

ไมเคิล พีน่า เคยแสดงภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของเฟล็สเชอร์ “30 Minutes or Less” ต้องมารับบทเป็นเจ้าหน้าที่น้องใหม่เล่าว่า “รามิเรซเพิ่งเรียนจบ ไม่มีใครอยากจับคู่ด้วยเพราะสิ่งที่ติดตัวเขามา เขาเลยถูกจับคู่กับนักแม่นปืนผู้เต็มใจดูแลเฝ้าระวังให้เขา เขาอยากไปอยู่ในจุดเกิดเหตุ และเขารู้สึกว่าตัวเองต้องพิสูจน์บางอย่าง การที่โตขึ้นมาในแถบ Chavez Ravine เขาอยากเป็นเพียงหนึ่งในคนดีกลุ่มนี้ และเขาเห็นว่าหน่วยกุดหัวแก๊งสเตอร์นี่ล่ะที่จะสร้างจุดยืนให้เขาได้”

ความซื่อสัตย์ไม่มีอยู่ในตัวผู้ที่รักสิทธิตามกฏหมาย ในความเป็นจริงแล้วธุรกิจของโคเฮนลุล่วงไปด้วยดี มันเป็นเรื่องสำคัญที่เขาต้องไว้ใจเหล่าโจรรอบตัวเขา เฮาล์ท แม็คคอลลานี่ รับบทเป็น คาร์ล ล็อควูด มือขวาของมิคกี้ และมีความสำคัญต่อชีวิตมิคกี้หลายด้านหากเขาอยากมีชีวิตรอด ซึ่งตัวแม็คคอลลานี่เองก็มีความผูกพันกับยุคนั้นในหนังเป็นพิเศษ

“เป็นเรื่องบังเอิญมากที่แม่ของผม จูลี่ วิลสัน เคยเป็นนักร้องชื่อดังในไนท์คลับยุค 40-60 แม่แสดงหลายที่อย่าง Mocambo และ Trocadero”

แม็คคอลลานี่ร่วมงานกับเพ็นน์อย่างใกล้ชิดตลอดการถ่ายทำ มีการค้นหาข้อมูลอาชญากรตัวจริงอย่างกว้างขวาง และเปรียบเทียบกับการทำงานของเพ็นน์กับ “นักดนตรีแจ๊สที่เข้าถึงโน้ตอย่างลงตัว มีการแสดงออกทางแววตาของเขา หรือมีการส่งบทพิเศษให้จนผมคิดว่า ‘นั่นไงมิคกี้ โคเฮน เขาอยู่นั่น’ มันเป็นช่วงเวลาที่ยากจะบรรยาย”

แม้ว่าพวกเขาจะมีความกล้า แต่สมาชิกหน่วยกุดหัวแก๊งสเตอร์ก็รู้ดีว่ามันจะเกิดโอกาสน้อยมาก ในธุรกิจของโคเฮนจะไม่ได้รับความดีความชอบสักนิด และแทบจะไม่มีการบันทึกการเดินทางของเขา รวมถึงต้องตัดสินใจว่าจะโจมตีเขาอย่างไร ล้วนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ภารกิจเกิดการบาดเจ็บขึ้ตนเล็กน้อย แต่ภารกิจนี้ไม่หนักหนา เพราะได้รับความช่วยเหลือจากแจ็ค วาเลน ตัวละครลับที่มีลุคเหมือนนักแสดงภาพยนตร์ ผู้มีบทบาทที่น่าสนใจ ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับคนร้าย ตัวละครนี้อิงบางส่วนมาจากบุคคลจริง ผู้กลายเป็นคู่หูของเจอร์รี่ วูทเตอร์สตลอดกาลหลังจากที่ทั้งสองพบกันในการเผชิญหน้ากันที่โรงแรมฮอลลีวูด

ซัลลิแวน สเตเพิลตัน ผู้รับบท วาเล็น เล่าว่า “ในภาพนตร์พวกเขาเป็นเพื่อนกันสมัยเด็กๆ ที่มีแนวทางชีวิตแตกต่างกัน แต่ยังมีความสนิทสนมกันอยู่ แจ็คมีส่วนพัวพันกับโคเฮน แต่เขาก็มีเส้นทางของเขาเอง เขาได้ยินเรื่องต่างๆ และจะคาบข่าวไปบอกกับเจอร์รี่ ผมจะไม่เรียกเขาว่าพวกขี้ฟ้องหรืออะไรทำนองนั้นหรอก ผมว่าเขาคอยสอดส่องดูแลเพื่อนมากกว่า”

เฟล็สเชอร์ตื่นเต้นไปกับเหล่านักแสดงของเขาในเรื่อง “Gangster Squad” ไม่ว่าพวกเขาจะแสดงบทคนร้ายผู้อำมหิต ตำรวจหัวแข็ง หรือใครในเรื่องก็แล้วแต่ “การแสดงร่วมกันของแต่ละคนเหมือนของขวัญล้ำค่าสำหรับผู้กำกับอย่างผมเลย” เขากล่าว “ทุกคนมีความสามารถมาก แสดงอย่ามีชีวิตชีวาและทุ่มเทกับบทบาทของพวกเขามาก ผมคงไม่ขออะไรไปมากกว่านี้แล้ว”

มิคกี้ โคเฮน

เคยได้ยินเรื่องของลิขิตแห่งทรัพย์สมบัติมั้ย

นั่นคือสิ่งที่คุณจะต้องกอบโกยเมื่อทำได้

และเมื่อคุณทำได้ ผมจะโกยมันทั้งหมด

ไม่ใช่เพราะฉันทำได้

แต่มันคือชะตาลิขิต

ลอสแองเจลิสคือชะตาชีวิตของฉัน

ภาพยนตร์เรื่อง “Gangster Squad” ถ่ายทำทั้งเรื่องภายในและบริเวณโดยรอบลอสแองเจลิส มีการใช้บริเวณสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ และดัดแปลงสถานที่อื่นๆ เพื่อสร้างบริเวณขึ้นชื่อที่สำคัญและน่าจดจำในยุคที่มิคกี้ โคเฮนเข้ามาครอง

“ผมชอบที่หนังพาเราย้อนอดีตกลับไปได้อย่างชัดเจน จนเรารู้สึกได้ถึงรายละเอียดและสวยงามของสถานที่ทั้งหลาย แต่เราก็อยากให้หนังดูมีความทันสมัยด้วย มันต้องบาลานซ์กันอย่างละเอียดอ่อน” เฟล็สเชอร์ยืนยัน “ผมโชคดีที่ได้ร่วมงานกับคนเก่งๆ ในวงการ ผู้เป็นสิลปินตัวจริงอย่าง ดีออน บีเบ้, เมเฮอร์ อาหมัด, แมรี่ โซเฟียร์ส และ เอเรียล วีลาสโค่ ชอว์ ฉะนั้นระหว่างการถ่ายภาพ การออกแบบฉาก เครื่องแต่งกายและวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ ผมว่าผู้ชมจะรู้สีกได้ว่าได้ย้อนกลับไปที่นั่นจริงๆ แต่จะตอบรับกับหนังด้วยความรู้สึกที่ทันสมัย”

มีการปรึกษาเรื่องภาพลักษณ์และอารมณ์ของภาพยนตร์กันตั้งแต่ช่วงแรก ดีออน บีเบ้ ตากล้องฯ เล่าให้ฟังว่า “ตอนที่ผมกับรูเบ็นคุยกันเรื่องโปรเจ็กต์ครั้งแรก มีการอ้างอิงย้อนยุคขึ้นมา เราทั้งคู่รักการทำหนังแนวนี้มาก ไม่มีใครอยากค้นหาประเภทภาพยนตร์ที่ถูกแต่งขึ้นมาแบบเรียบง่าย เราต้องการให้มันดูร่วมสมัย ถึงแม้จะย้อนยุคก็ตาม วิธีการสร้างโลกขึ้นมาร่วมกันคือการเลือกถ่ายทำแบบดิจิตอลที่ร่วมกับกล้องถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งมีเลนส์ anamorphic พร้อมด้วยวิธีการที่โดดเด่นและการเคลื่อนไหวกล้องตอนถ่ายทำได้เขยิบให้เราสามารถสร้างสิ่งที่ดูร่วมสมัย และรักษาความรู้สึกแห่งห้วงเวลารวมถึงประเภทของภาพยนตร์ไว้ได้ มันค่อนข้างน่ากลัวในการใช้รูปแบบดิจิตอลและเอาไปใช้กับยุคคลาสสิค แต่มันก็ตื่นเต้นดี”

เมื่อมีการเลือกสไตล์การถ่ายทำภาพยนตร์ได้แล้ว ผู้สร้างภาพยนตร์จึงหันความสนใจมาที่รายละเอียดของข้อเท็จจริง เพื่อทำให้มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด “ฉากในหนังตามที่เห็น หากเรามองจากปลายถนนลงไป 5 ช่วงตึก คุณยังเห็นความขลังของ 4 ช่วงตึกตลอด” ผู้ออกแบบฉากฯ เมเฮอร์ อาหมัด เล่าว่า “แต่ในหนังแนวพีเรียด ทุกอย่างต้องปรับเปลี่ยนแก้ไข หลบซ่อน เคลื่อนย้ายหรือแต่งเติมได้”

“หนังแนวพีเรียดทุกเรื่องมีความท้าทาย” ไมเคิล แทดรอส ยืนยันว่า “สัญลักษณ์ถนนทุกแห่ง หัวดับเพลิง เสาไฟถนน หรือแม้แต่เส้นแบ่งถนนในปี 1949 ล้วนมีความแตกต่าง นี่คือภาระอันยิ่งใหญ่ของทีมเมเฮอร์”

“เนื่องจากเรามีการถ่ายทำบริเวณด้านนอกกันเป็นส่วนใหญ่ และช่วงปีนั้นเพิ่งผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่อนข้างดูล่องลอง นี่เป็นโปรเจ็กต์ที่ยากสำหรับผมมาก” อาหมัดเล่าว่า “หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงจากยุค 50 ซึ่งพูดถึงยุคโมเดิร์นแห่งศตวรรษกลาง ผมจึงพาตัวเองไปศึกษาด้านภาพลักษณ์”

อาหมัดตรวจสอบภาพที่แตกต่างกันไม่น้อยกว่า 30,000 รูป รวมถึงมีการดึงข้อมูลสำรองมาจากหนังพีเรียดด้วย “ภาพยนตร์แนวแก๊งสเตอร์และดนตรีในยุคนั้นมักเกี่ยวข้องกับไนท์คลับหลายฉาก ทำให้ผมได้เห็นว่าชีวิตกลางคืนในยุคนั้นเป็นอย่างไร” เขากล่าว

เควิน แม็คคอร์มิค แสดงความเห็นว่า “ผมอยู่ที่แอล.เอ.มานานหลายปี ผมมองดูตึกสูงตรงนี้ตรงนั้นอยู่บ่อยๆ และสงสัยว่าเมื่อก่อนมันเป็นอย่างไร ในช่วงเวลาหลายเดือนที่เราสร้างหนัง ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเมือง เริ่มตั้งแต่ในบทภาพยนตร์มาจนถึงตอนถ่ายทำ วิล รูเบ็น เมเฮอร์และทีมงานของเขาสร้างสถานที่ต่างๆ ขึ้นมาด้วยความรักในลอสแองเจลิส และมันก็ปรากฏขึ้นมา”

ฉากแรกๆ ของภาพยนตร์จะเห็นสถานที่ซึ่งเป็นจุดเด่นที่สุดของเมืองอย่าง Union Station “มันเป็นสถานที่ที่สวยมาก” อาหมัดกล่าว อันที่จริงถือว่าโชคดีมาก เพราะถึงแม้บทต้นฉบับไม่มีการบรรยายถึงภาพลักษณ์ด้านนอก แต่ผู้ออกแบบฉากเล่าว่า “รูเบ็นกับผมปรึกษากันว่าเราไม่ควรมองข้ามการถ่ายทำด้านนอก เขาจึงย้ายฉากภายในฉากหนึ่งมาไว้ด้านนอก”

ฉากหนึ่งที่มีความสำคัญต่อภาพยนตร์ทั้งด้านในและด้านนอกคือ Slapsy Maxie ซึ่งเป็นไนท์คลับที่มิคกี้ โคเฮนทานดินเนอร์ร่วมกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้ฉ้อฉลที่กินเงินเดือนเขาอยู่เหมือนที่โคเฮนตัวจริงทำ พื้นที่ค้าขายอันว่างเปล่าในBellflowerถูกปรับเปลี่ยนเป็นจุดหมายปลายทาง และมีความกว้างใหญ่สะดวกพอทที่จะเป็นแหล่งดำเนินธุรกิจของโคเฮนเหมือนที่ร่างเอาไว้ในบทภาพยนตร์

“ในช่วงแรกเราสร้างฉากภายในของ Slapsy Maxie และถ่ายทำภายนอกของสถานที่อื่นก่อน” เฟล็สเชอร์เล่ารายละเอียด “แต่เมเฮอร์พบตึกที่มีสถาปัตยกรรมงดงามสมบูรณ์ หน้าร้านที่ดูอ้างว่างอย่างอัศจรรย์ ซึ่งกลายเป็นสถานที่สำคัญของเรา ทันทีที่ดีออนกับผมได้เห็นเข้า เรามองหน้ากันและเรารู้เลยว่า เรามีมุมถ่ายทำที่ดูดี ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติที่ดีเลิศของสถานที่แห่งนี้”

“เรามีสถานที่ด้านนอก คลับ และบริเวณที่รับแทงพนันที่เชื่อมต่อกันทั้งหมด และสามารถถ่ายทำกันได้อย่างต่อเนื่อง ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบมาก” อาหมัดเล่าว่า “มันเป็นฉากที่มีความสนุกสนานด้วยเช่นกัน เพราะมันต้องแสดงให้ผู้ชมเห็นถึงการทำธุรกิจของโคเฮน ซึ่งมีขนาดค่อนข้างกว้าง และมีพื้นที่ที่ดำเนินงานได้ง่าย”

ไรอัน กอสลิงเล่าว่าสถานที่ถ่ายทำและฉากแอ็คชั่นคุ้มค่ากับเงิน ระหว่างที่มีการถ่ายทำภาพยนตร์ตรงนั้น เขาบังเอิญได้ยินผู้ควบคุมบทและผู้ควบคุมเพลิงซึ่งเป็นวัยสูงอายุคุยกันขึ้นมา “ผู้ตรวจสอบบอกเธอว่า เขาอยู่ที่ Slapsy Maxie ของจริงในคืนหนึ่ง และเห็นมิคกี้นั่งอยู่ที่โต๊ะร่วมกับเพื่อนของเขา” กอสลิงกล่าว “เขาพูดแบบนั้นจริงๆ มิคกี้เคยนั่งอยู่ตรงนั้นแบบเดียวกับฌอน เธอถามว่าเขาจำอะไรได้อีกมั้ย เขาตอบว่า ‘จำได้ เขาเล่าเรื่องตลกให้ฟังหลายเรื่อง ไม่มีใครตลก แต่กลับหัวเราะออกมาเลย’”

แม้ว่า Slapsy Maxie จะเปรียบเหมือนอาณาเขตของโคเฮน คู่อริของมิคกี้อย่าง ดรากน่า หัวหน้ามาเฟียชาวอิตาลีผู้เสียอิทธิพลให้กับโคเฮน ยังทนอยู่กับโลกเก่าๆ ที่เขาปกครอง และครอบครองพื้นที่ในบริเวณคลับ Figaro มีการถ่ายทำในโรงละครแห่งประวัติศาสตร์บนบรอดเวย์คือ Tower Theater ในย่านตัวเมืองแอล.เอ. ภาพลักษณ์ของคลับได้รับแรงบันดาลใจมาจากไนท์คลับ Mocambo แห่งยุค 40

ช่วงที่มีการสร้างภาพยนตร์ โรงละครถือเป็นฉากบังหน้าของมันเอง “เราสร้างบาร์ขึ้นมาจากภาพร่าง และทำพื้นห้องขึ้นมาใหม่ ติดหลอดไฟ โคมไฟ ผ้าม่านขนาดใหญ่ที่มีลวดลายหรูหรา” เขาเล่าว่า “เราใช้สีแดงที่ดูอุ่นและลุ่มลึกมาช่วยสร้างความรู้สึกที่หมองหม่นเหมือนถ้ำ เพื่อตัดกับโครงสร้างโทนสีเขียวที่ดูทันสมัย และรายละเอียดการตกแต่งที่ช่วยเพิ่มความทันสมัยให้ Slapsy Maxie ในอาณาบริเวณของโคเฮนที่”

นอกจากการสร้างฉากที่สะท้อนถึงยุคสมัยแล้ว เฟล็สเชอร์ยังสำรวจพื้นที่เพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ทั้งในและนอกสถานที่สำคัญในแอล.เอ.หลายแห่ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงประวัติความเป็นมาของเมือง “ภารกิจสำคัญของผมคือการลองใช้สถานที่สำคัญของเรา” ผู้กำกับอธิบายรายละเอียดว่า “สถานที่อย่างสัญลักษณ์ฮอลลีวูดที่เป็น Hollywoodland ของตอนนั้น ถือเป็นจุดเด่นแห่งแรกเมื่อทุกคนนึกถึงแอล.เอ.”

ซิตี้ฮอลที่มีประวัติศาสตร์อย่างยาวนานอยู่ในใจกลางเมืองลอสแองเจลิสคือสถานที่เดิมในภาพยนตร์ ห้องประชุมของนายกเทศมนตรีเคยใช้เป็นสำนักงานของ ผบ.บิล พาร์คเกอร์ สถานีตำรวจHighland Parkเป็นสถานีที่เก่าแก่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ในเมือง กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ตำรวจลอสแองเจลิสในทุกวันนี้ จำลองเป็นสถานีตำรวจเบอร์แบงค์ส่วนโรงแรมParkPlazaเคยตั้งอยู่ใกล้กับสวนแม็คอาร์เธอร์เมื่อปี 1925 และClifton’s Cafeteria ตั้งแต่ช่วงยุค 30 ทำหน้าที่เป็นฉากหลังที่สำคัญของภาพยนตร์

ฉากสำคัญของเรื่องใช้สถานที่ในไชน่าทาวน์ และมีการถ่ายทำที่นั่นไม่น้อยกว่า 3 วัน ด้านหน้าของร้านถูกตกแต่งใหม่ ไฟบนท้องถนนถูกรื้อออก มีการติดโคไฟสีส้มและสีแดงสดใสเพื่อเพิ่มความทันสมัย เพื่อให้ได้ความเหมาะสมทีมงานช่างไฟต้องช่วยกันตกแต่ง China Balls ให้กลายเป็นแผงไฟสำหรับบางฉาก

สวน Ascot ตั้งอยู่ที่ Chavez Ravine มาเป็นเวลานานตั้งแต่เป็นสนาม Dodger แต่ในยุค 40 เป็นยุคที่มีการปรับเปลี่ยน ด้วยมุมมองที่จะพัฒนาขึ้นมาเป็นหมู่บ้านสาธารณะ โรงเก็บม้ามาริโพซ่าเป็นที่ตั้งของคาสิโนลับที่ตั้งอยู่ด้านนอก คุมโดยโคเฮนและเป็นเป้าหมายของกลุ่มแคชวันบนถนนWest Picoถูกใช้เป็นคลับ Alabam ซึ่งเป็นที่ตั้งมั่นของโคเฮน และเป็นร้านโปรดในย่าน Larchmont สำหรับที่ Lucy’s El Adobe Café บนถนนเมลโรสได้กลายเป็น Café Caliente สถานที่แฮงค์เฮาท์ของเจ้าหน้าที่เค็นนาร์ดและรามิเรซ

บริเวณออฟฟิศของหน่วยกุดหัวแก๊งสเตอร์มีการถ่ายทำบนพื้นที่กว้างใหญ่ในซิลมาร์ ส่วนหนึ่งเพราะมันต้องดูห่างไกล เนื่องจากตัวละครต้องปฏิบัติภารกิจภายใต้เรดาร์ กล้องสามารถจับภาพบริเวณนั้นที่มีรถตำรวจวิ่งมาได้ บ้านสุดล้ำสมัยของจอห์นและคอนนี่ โอ’มาร่า ตั้งอยู่ในเขต Mid-Wilshire อาหมัดจึงสร้าง “บรรยากาศที่น่ารักอบอุ่นอ่อนหวาน” เข้าไป ตรงกันข้ามกับบ้านสไตล์ Spanish-Mediterranean อันโอ่อ่าของมิคกี้ โคเฮน ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางย่านBeverly Hillsที่ทุกสิ่งดูหรูหราฟู่ฟ่า

“ทีมงานสร้างโลกที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน” แดน ลิน เล่าว่า “สภาพแวดล้อมที่เขียวชอุ่ม เสื้อผ้านแนวเซ็กซี่… เป็นโลกที่ยังรู้สึกได้ถึงมนต์เสน่ห์ และเป็นโลกที่ผมว่าทุกคนหวังจะได้ไปใช้ชีวิตอยู่สักนิด”

แต่งองค์ทรงเครื่อง

ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แมรี่ โซเฟรียร์ส ตื่นเต้นกับการเข้าไปสู่สไตล์พีเรียด “ฉันว่ามันเป็นเสน่ห์ของนักแสดงที่ถูกหลอมเข้ากับเสื้อผ้าแนวนี้ บทพูดและการแสดงที่ดูมีชั้นเชิง แต่เป็นเพราะภาพรวมทั้งหมดด้วย การทำให้ใครสักคนถูกมองเป็นตัวร้ายในเสื้อผ้าสไตล์นั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย”

สำหรับการแยกความแตกต่างระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและพวกอันธพาล โซเฟียร์สเริ่มตั้งแต่ตัวสำคัญคือ มิคกี้ โคเฮน “ผ้าขนแกะมีความนิยมมากในยุคนั้น แต่รูเบ็นกับฉันคิดว่ามันคงดูน่าสนใจดี ถ้าให้มิคกี้ดูโดดเด่น เสื้อผ้าของเขาจึงดูเป็นมันเงา เหมือนเราแทบจะสไลด์ลงไปได้ ในขณะที่หน่วยกุดหัวแก๊งสเตอร์อยู่ในชุดโทนสีอบอุ่นและน้ำตาล เขาจะอยู่ในชุดโทนเย็น เช่น สีฟ้า สีเทา หรือสีแดงเข้ม”

โซเฟียร์สหันเหการศึกษาข้อมูลของเธอมาที่คนจริงๆ “เราแกะรอยจากตัวเขา โดยปกติเขาจะสวมเสื้อคอยาว มีอักษรแรกของชื่ออยู่บนสิ่งของ แต่ในภาพถ่ายเราเห็นว่าถึงแม้เขาจะสวมชุดใหม่ แต่ก็มีความไม่เป็นระเบียบอยู่เสมอ ถึงอย่างไรเราก็อยากให้ฌอนดูอำมหิต มีความโดดเด่นอย่างกลมกลืนกันเสมอ” ด้วยความเคารพในอักษรแรกของชื่อพวกนั้น เธอเล่าต่อว่า “เราไม่จำเป็นต้องเห็นบนหน้ากล้องหรอก แต่มันติดอยู่บนกระเป๋า บ็อกเซอร์ หรือกระดุมแขนเสื้อของเขา ในบางครั้งเขามีการออกอากาศว่าเขาเป็นใครในโลกที่เขาอาศัยอยู่ด้วย โคเฮนตัวจริงไม่เคยสวมชุดเดิมซ้ำสอง เช่นเดียวกับฌอน” สำหรับการสร้างความแตกต่างด้วยเสื้อของโคเฮนที่มีสีสันอ่อนกว่า ผู้ออกแบบต้องให้ลูกน้องของเขาสวมชุดสีเข้มทุกคน โคเฮนจะได้ดูโดดเด่นกว่าใครอื่น

เครื่องประดับของมิคกี้ โคเฮนที่จับจ้องสายตาเวลาเอามาติดมากทุ่ดคือ เกรซ ฟาราเดย์ สตรีผู้ควงแขนเขา “เห็นกันอยู่ว่าเกรซมีแฟนระดับมหาเศรษฐีเป็นผู้ซื้อเสื้อคลุมให้เธอ” โซเฟียร์สยิ้ม “ฉันรู้สึกว่าชุดที่เธอสวมทุกวันคือชุดที่เธอซื้อก่อนจะมาเจอเขา มันดูเรียบง่ายกว่า แต่พวกชุดสวมตอนเย็นและเครื่องประดับคือสิ่งที่เขาซื้อให้เธอ”

สำหรับเอ็มม่า สโตน เรียกได้ว่าบรรดาเสื้อคลุมทั้งหลายล้วนมีราคาทั้งนั้น “เอ็มม่ามีโครงร่างที่ดีมาตั้งแต่เริ่ม แต่การทำให้เธอมีรูปร่างทรงนาฬิกาทรายของหญิงที่มาจากวาร์กัสอย่างที่บรรยายเอาไว้ในบทและดูลึกลับ เราต้องปรับเปลี่ยนเธอบ้างสักเล็กน้อย” โซเฟียร์สเปิดเผยว่า “เรามีชุดที่เน้นรูปร่างเพื่อให้เธอดูมีสัดส่วนมากขึ้น และให้เธอใส่ชุดรัดรูปที่รัดเอวเธอไว้ประมาณ 3 นิ้ว ฉันว่าเธอคงดีใจมากที่ได้ถอดชุดพวกนั้นออกก่อนกลับบ้าน”

ครั้งแรกที่สโตนปรากฏตัวในภาพยนตร์ เธอดูงามอร่ามด้วยชุดโปรดของโซเฟียร์สมาก “ฉันรักเสื้อคลุมสีแดงตัวนั้น มันดูน่าตะลึงตา ในหนังเรื่องนี้ไม่มีใครดูน่าหลงใหลเท่ากับเกรซเลย และฉันมีความสุขมากที่ได้เห็นชุดนี้ตั้งแต่ภาพร่างมาจนถึงผลงานที่เสร็จสิ้น เอ็มม่าปรากฏออกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลย”

“ชุดสีแดงนั้นที่แมรี่สร้างขึ้นมาจากภาพวาดมีความหรูหรางดงามมาก และเอ็มม่าเองก็ดูโดดเด่นในชุดนั้น” เฟล็สเชอร์เห็นด้วย “ครั้งแรกที่เธอเดินผ่านฉากด้วยชุดที่มีรอยผ่าให้เห็นขาของเธอ พร้อมด้วยผ้าพันคอแบบในละครที่อยู่รอบคอ… จากนั้นเธอกับวูทเตอร์สดื่มเหล้ากัน 2 ช็อตที่บาร์ ซึ่งเราตัดภาพไปที่ด้านหลังและคุณจะเห็นภาพถ่ายของเธอ เธอดูน่าสะดุดตาจริงๆ”

สโตนยกความดีให้กับโซเฟียร์ส รวมถึงทีมช่างแต่งหน้าและทำผมที่ช่วยแปลงโฉมเธอ “พวกเราช่วยกันคิดและผสผสานลุคของนักแสดงภาพยนตร์ยุค 40 หลายคน เธอมีฟันเหมือนวิเวียน เลห์ มีผมเหมือนจีน เทียร์นีย์ และการแต่งหน้าแบบลอว์เร็น บาคอล ทั้งหมดรวมเป็นริต้า เฮย์เวิร์ธ” สโตนหัวเราะ “แต่ฉันว่านั่นเป็นสิ่งที่เกรซก็ทำเหมือนกับคนไร้เดียงสา หลายคนทำแบบนั้น ตั้งแต่ที่เกรซอยากเป็นดาว ฉันว่าเธอผสมผสานผู้หญิงทุกคนที่เธอว่าสวยมารวมเข้ากันเป็นหนึ่ง น่าเสียดายที่ไปไม่ถึงฝันในโลกของการงาน เพราะเธอไม่ได้เป็นใครเลย…สักคนเดียว”

สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โซเฟียร์สสร้างความแตกต่างระหว่างเขากับพวกอันธพาลด้วยองค์ประกอบเดียวที่ง่ายๆ “ฝ่ายอธรรมจะสวมแจ็คเก็ตที่หน้าอกด้านหน้าพองเป็นส่วนใหญ่ แล้วฝ่ายธรรมะจะสวมสูททรงเรียบ” เธอกับทีมงานช่วยันสร้างความโดดเด่นให้สมาชิกของแก๊งค์แต่ละคน เริ่มตั้งแต่ที่โอ’มาร่า “เขาเคยผ่านสงครามมา และมาในฟอร์มตำรวจเต็มรูปแบบ ในความคิดผมเขาไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่ว่าตัวเองจะมีภาพลักษณ์แบบไหน เขาแค่ไปปฏิบัติหน้าที่ เขารู้ว่าในฐานะนักสืบควรต้องสวมชุดสูท เราให้เขาไป 5-6 ชุด แต่ไม่มีชุดไหนโดดเด่นดึงความสนใจเลย เมื่อเขาอยู่ในภาพยนตร์คุณจะบอกความแตกต่างระหว่างพวกเขาได้ยากมาก”

ต่างจากเจอร์รี่ วูทเตอร์สที่โซเฟียร์สบรรยายเอาไว้ว่า “สวมชุดขี่ม้าทั้งชุด เขาหมดเงินทั้งหมดไปกับเสื้อผ้า เขาแคร์เรื่องภาพลักษณ์ของเขามากๆ”

“ผมชอบวิธีการสร้างความแตกต่างให้ทั้งสองคนของแมรี่” เฟล็สเชอร์เล่าว่า “ชุดของโอ’มาร่าเน้นที่ประโยชน์ใช้สอย ชวนให้นึกถึงอดีตการเป็นทหารด้วยสีเขียวเข้มและน้ำตาล วูทเตอร์สมีความทันสมัยมากกว่า เขาเป็นสมาชิกเพียงคนเดียวของกลุ่มที่สวมเสื้อผ้ามีลวดลาย เขาเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งไรอันเหมาะกับบทนั้นมากๆ”

ในการรับบทเป็น แม็กซ์ เค็นนาร์ด นักแม่นปืน โรเบิร์ต แพทริคต้องสวมสูท 3 ส่วน แต่มีกลิ่นอายของชาวตะวันตก และแทนที่จะสวมแจ็คเก็ตทับเสื้อ เขากลับสวมเสื้อคลุมแบบยาวแทน นาวิแดด รามิเรซเป็นสหายหนุ่มของเขา ไมเคิล พีน่าสวมเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ทำให้เขาดูเหมือนเด็กที่เพิ่งเรียนจบมาหมาดๆ แล้วยืมเสื้อผ้าจากพ่อมาใส่ จิโอแวนนี่ ริบิซี่แต่งตัวแบบแฟมิลี่แมนในย่านชานเมืองที่ดูเชยๆ เพื่อรับบทเป็นคอนเวล คีเลอร์

สำหรับ โคลแมน แฮร์ริส ตัวละครของแอนโธนี่ แม็คกี้ โซเฟียร์สพบแรงบันดาลจากแหล่งที่ไม่คาดฝันคือ แจ็คกี้ โรบินสัน นักบาสเก็ตบอลในตำนาน “จากการศึกษาข้อมูลมา ฉันติดใจตรงที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกันเพียงไม่กี่คนในปี 1949 มันทำให้ฉันนึกถึงโรบินสันและบาสเก็ตบอลนัดสำคัญของเขาในช่วงแรกๆ ถ้าไม่รวมชุดเครื่องแบบ เขาจะแต่งชุดเรียบร้อยธรรมดาที่ดูดีเสมอ นั่นคือสิ่งที่ฉันเลือกใช้กับแฮร์ริส”

สิ่งหนึ่งที่สร้างความสุขให้โซเฟียร์สได้มากคือ การออกแบบลุคให้กับนักแสดงสมทบ “ฉันชอบการตกแต่งฉากหลัง” เธอเล่าว่า “เราต้องคิดว่าสีสันและคอนเซ็ปต์ของแต่ละฉากจะเป็นอย่างไร มันจะช่วยคัดประเภทฟิล์มของการถ่ายทำมาใส่ทุกฉาก พอแต่ละคนเดินเข้ามาทางประตู เราจะรู้ทันทีว่าควรจะทำอย่างไรกับพวกเขา ฉันมีทีมงานเก่งๆ ที่เคยทำงานหัวปั่นกับพวกเขามาแล้ว พอการตกแต่ง ปรับเปลี่ยนแก้ไข ย้อมผม ม้วนผมเสร็จเรียบร้อย จนมาถึงการแต่งหน้าทำผม แล้วเราก็จะได้ตัวละครที่มีความสมบูรณ์แบบอย่างน่าอัศจรรย์แบบนี้” โดยทั้งหมดนี้โซเฟียร์สและแผนกของเธอต้องสร้างเสื้อผ้ามากกว่า 3,500 ชิ้น

เฟล็สเชอร์เล่าต่อว่า “ระดับความละเอียดและความสมจริง อยู่ที่การแสดงออกของตัวละครผ่านทางเสื้อผ้าและตัวประกอบทุกคนที่มาสร้างสีสันได้อย่างแนบเนียน ผลงานที่แมรี่กับทีมงานของเธอสร้างเอาไว้ไร้ที่ติจริงๆ”

หนุ่มๆ และของเล่นของพวกเขา

ไม่ว่าพวกเขาจะแต่งตัวคล่องแคล่วแค่ไหน จะดูเป็นคนดีหรือตัวร้าย ไม่มีตัวละครไหนแต่งองค์ทรงเครื่องครบสูตรโดยขาดอาวุธข้างกาย สำหรับพวกอันธพาลยุค 1940 ต้องเป็นปืน Tommy ดั๊กลาส ฟ็อกซ์ หัวหน้าฝ่ายตกแต่งองค์ประกอบฉาก รับหน้าที่ด้านการหาอุปกรณ์คู่กายให้นักแสดง ด้วยอาวุธหลากหลายที่จำเป็นต่อตัวละครของพวกเขา แทดรอสเคยร่วงานกับเขาเป็นประจำในช่วงเวลากว่า 20 ปีเล่าว่า “ดั๊กเป็นนักสะสมและสามารถหาทุกสิ่งที่เราต้องการให้ได้ ผมรู้เลยว่าเขาเหมาะกับหนังแนวพีเรียดที่ต้องใช้อาวุธหลากหลาย”

“โอ’มาร่าต้องแบก .45 ไว้ตลอดทั้งเรื่อง เรามีปืนกลและปืนพกหลายกระบอก แต่เราลองทำบางอย่างที่แตกต่างจากสิ่งที่เราเคยเห็นในหนังแนวแก๊งสเตอร์ “ผู้สร้างภาพยนตร์สนใจอาวุธบางชิ้นที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งถูกคัดกรองไปเก็บในองค์กรกลุ่มอาชญากรของยุคนั้น เราจึงเลือกอาวุธเหล่านั้นรวมถึงปืนไรเฟิล STEN และอาวุธ PPSh ของรัสเซียซึ่งจะยิงกระสุน 9 มม. เมื่อเทียบกับกระสุน .45 ของปืนกล Tommy และเรายังมีปืนกล MP40 ที่บางครั้งเรียกกันว่า Schmeisser อย่างที่เห็นกันบ่อยๆ ในหนังสงคราม สำหรับปืนใหญ่ที่ใช้ป้องกันฐานตั้งมั่นของโคเฮน เราพบปืน Lewis ซึ่งเป็นปืนอังกฤษขนาด .303 caliber ที่คิดค้นขึ้นเมื่อปี 1911”

เหล่านักแสดงต้องฝึกซ้อมกับฟ็อกซ์ เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับอาวุธที่ตัวละครของพวกเขาต้องใช้ รวมถึงต้องใช้อย่างปลอดภัยด้วย ตัวละครของโรเบิร์ต แพทริคเป็นคนที่ชักปืนไวที่สุดของหน่วย เขาได้รับการฝึกฝนกับนักแม่นปืนระดับโลก โจอี้ ดิลลอน โดยการควงปืนของเขาถือเป็นสัญชาตญาณที่ 2 เลยทีเดียว ฟ็อกซ์ยังช่วยฝึกแอนโธนี่ แม็คกี้ใช้มีดพกสปริง ซึ่งเป็นอาวุธหลักที่โคลแมน แฮร์ริสเลือกใช้อีกด้วย

แม้ว่าอาวุธสำคัญจะมาจากยุคร่วมสมัยหรือก่อนหน้านั้น เฟล็สเชอร์ก็ยังต้องการให้ฉากต่อสู้ในภาพยนตร์มีความรู้สึกแปลกใหม่ “นี่เป็นหนังแอ็คชั่นและเราต้องการให้มีความสนุก สมบูรณ์ในรูปแบบที่ทันสมัยเหมาะกับผู้ชมในยุคปัจจุบัน” เขากล่าว

ผู้ควบคุมการแสดงผาดโผนของภาพยนตร์ ดั๊ก โคลแมน ยังทำหน้าที่ให้คำแนะนำด้านอาวุธต่างๆ อีกด้วย เขาฝึกฝนนักแสดงด้านเทคนิคการต่อสู้หลากรูปแบบ เขาเล่าว่า “ตัวละครของจอช โบรลินเคยผ่านการฝึกของหน่วยCampXและการฝึกคอมมานโดมาแล้ว เทียบเท่ากับ Navy SEALs และ Rangers ของเราในยุคปัจจุบัน รวมถึงการฝึกด้านกลยุทธ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ตรงกันข้ามกับมิคกี้ โคเฮนที่เป็นนักมวย สไตล์ของเขาจะใช้การต่อยที่รุนแรง ไม่เน้นความเร็วอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ ฉะนั้นการผสมผสานเทคนิค 2 แบบนั้นและเอามาเปรียบเทียบกันเป็นอะไรที่เท่ห์มากสำหรับผม มีฉากขับรถไล่ล่าและดวลปืนกัน เราต้องสร้างฉากที่ตื่นเต้นมากๆ ขึ้นมาหลายฉาก”

เพื่อเพิ่มความเข้าใจในยุคนั้นมากขึ้น โคลแมนต้องใช้เวลาอยู่กับอดีตพนักงานขับรถของโคเฮนและที่ปรึกษาด้านเทคนิคของกรมตำรวจลอสแองเจลิส “พวกเขาเล่าอะไรให้ฟังหลายอย่าง ล้วนเป็นเรื่องจริงของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสมัยนั้น”

เฟล็สเชอร์เล่าว่า “พวกเราโชคดีที่ได้ร่วมงานกับดั๊ก เขาฝึกซ้อมกับทีมงานของเขาได้อย่างแม่นยำในครั้งแรก จกนั้นจึงมาฝึกซ้อมการเคลื่อนไหวให้นักแสดง รวมถึงสอนเทคนิคให้พวกเขาแสดงฉากผาดโผนพื้นฐานส่วนใหญ่ได้ด้วยตัวเอง การแสดงพวกนี้ไม่ง่ายเลย สำหรับนักแสดงตัวจริงที่อยากมีส่วนร่วมในฉากแอ็คชั่น ยิงปืน กระโดดข้ามรถ และฉากผาดโผน ด้วยเหตุนั้นเราจึงเห็นสีหน้าและความรู้สึกของพวกเขาจริงๆ ในฉาก โดยไม่ต้องแสดงตบตากล้องผ่านคนที่อยู่เบื้องหน้าของเราเลย”

“นี่ไม่ใช่อุดมการณ์หรือเสน่ห์ของเราในยุค 40 เลย” โบรลินยืนยัน “นี่เป็นมุมมองที่ผมคิดว่าคนแบบนี้จะมองตัวเองในยุค 40 หนังเรื่องนี้มีความสมจริง มีความโหดร้าย และมีฉากต่อสู้หลายฉากที่ทำให้การทำงานมีความสนุกอย่างเหลือเชื่อ ในฐานะของผู้ชม ผมคิดว่าเมื่อดูแล้วจะรู้สึกสนุกแน่ๆ”

สำหรับการรวบรวมรถยนต์ประมาณ 150 คัน รวมถึงรถจำลองหลายคันที่สามารถทำลายทิ้งได้ ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องขอความช่วยเหลือจาก ทิม วูดส์ ผู้ประสานงานด้านการจัดหารถสำหรับเข้าฉากภาพยนตร์ พาหนะที่เขานำเข้าฉากมี Packard ปี 1938 เครื่องยนต์ 472 Cadillac “มันมีความล้ำสมัยที่แฝงอยู่ โดยตัวถังรถใช้การประกอบขึ้นมา” วูดส์กล่าว

สำหรับรถของโคเฮน วูดส์ เขาหารถคู่นึงคือ Packard Super 8 limos ปี 49 แทนรถ Caddy กันกระสุนที่โคเฮนขับจริงๆ นอกจากบรรดารถเหล่านั้นแล้ว ยังมีรถสมุนของมิคกี้อีกด้วย” วูดส์เรียกว่าคาดิแลคจากปี 48-50 ที่เห็นตามภาพในอดีต “ในเรื่องเป็นช่วงปลายปี 1949 ฉะนั้นโมเดลรถปี 1950 เลยเพิ่งปรากฏออกมา ซึ่งมีแผ่นโลหะติดตามขวางที่ประตูหลัง นั่นคือจุดที่แตกต่างกับโมเดลยุค 50 ในช่วงแรก มิคกี้ดูแลรถของเขาเป็นอย่างดี” วูดส์กล่าว หนึ่งในนั้นมีรถที่รีไซเคิลเพื่อใช้ในฉากที่ต่างกันถึง 3ฉาก รถต้องถูกเผาแล้วเผาอีก ก่อนที่จะหมุนตัวและระเบิดในที่สุด

โอ’มาร่าขับ Ford Custom ปี 1946 ส่วนโคลแมน แฮร์ริสขับ Plymouth ซีดาน 4 ประตูปี 46 “หัวหน้าฝ่ายช่างกลของผม เคน เดวิต ควบคุมการสร้างรถทั้ง 3 คันให้กับตัวละครเหล่านั้น” วูดส์อธิบายอย่างละเอียด “รถคันแรกเป็นรถของกองถ่ายทำที่ 1 เป็นรถขนาด 6 สูบ เกียร์แมนวล ที่อยู่ในฉากอย่างสวยงาม คันที่สองเป็นรถเกียร์รถแข่ง เครื่อง 300 แรงม้า มอเตอร์ 350 เทอร์โบ 400 และ 438 Posi ซึ่งดูโคลงเคลงแบบรถในยุค 40 ของจริง ส่วนรถคันที่สามเป็นโครงรถของ Caprice ปี 87 พร้อมเกียร์กระปุก และรูปทรงที่ร่วมสมัย เราสามารถเหวี่ยงรถไปข้างทาง เผายางรถ หมุนรถ จัดฉากผาดโผนทุกอย่างที่น่าทึ่งกับรถได้”

สร้างโน้ตให้เข้าจังหวะ

เสน่ห์ที่ไม่แพ้กับสิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอคือเสียงที่ได้ยินในภาพยนตร์ เช่น ดนตรีในยุคนั้นที่ช่วยสร้างบรรยากาศ สตีฟ จาบลอนสกี้ นักประพันธ์ผู้รับหน้าที่ด้านเพลงประกอบภาพยนตร์เล่าว่า “ครั้งแรกที่ผมพบกับรูเบ็น เขาบอกผมว่าอยากได้เพลงสำหรับหนังแนวแก๊งสเตอร์ที่คลาสสิค เพื่อถ่ายทอดให้ผู้ชมในยุคปัจจุบัน ผมเป็นแฟนผลงานของเขาตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะได้เจอเขาแล้ว เพราะเขามีการถ่ายทอดเรื่องราวที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร เราคุยกันถึงเรื่องเพลงประกอบภาพยนตร์กันไปในทำนองเดียวกัน มีแนวโน้มไปในทางดนตรียุคใหม่ แต่ในเวลาเดียวกันต้องใช้จังหวะดนตรีและเครื่องดนตรีที่คลาสสิคด้วย การทดลองร่วมกับรูเบ็นเป็นอะไรที่สนุก เราได้ลองค้นหาจุดสมดุลของความรู้สึกที่เหมาะกับหนังเรื่องนี้ด้วยกัน”

นอกจากนั้นผู้ควบคุมดนตรี สตีเฟ่น เบคเกอร์ ยังช่วยรวบกลุ่มนักดนตรีสุดพิเศษมาร่วมบรรเลงดนตรี ซึ่งเราได้ยินการบรรเลงสดที่ Slapsy Maxie, Club Figaro หรือ Club Alabam ในภาพยนตร์ นำโดยนักเป่าแซ็กโซโฟนและโปรดิวเซอร์ดนตรี แดน ฮิกกินส์ หนึ่งในสมาชิกของ “Dancing with the Stars” วงออเคสตร้าบรรเลงสด ก่อนหน้านี้เขาเคยสร้างผลงานร่วมกับ Quincy Jones และ Frank Sinatra กลุ่มนี้ประกอบด้วยนักดนตรีผู้มีความชำนาญการเกี่ยวกับภาพยนตร์ ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่สตูดิโอถ่ายทำเรียกเป็นกลุ่มแรก ด้วยประสบการณ์หลายปีที่คู่ขนานกับผู้สร้างภาพยนตร์ที่เสาะแสวงหาความสมจริง

สมญานามของ The Gangster Squad Movie Band มีรายชื่อรวมถึงนักเป่าแซ็กโซโฟน รัสตี้ ฮิกกินส์ และ เกร็ก ฮัคกินส์ ที่เคยร่วมงานกับ Les Brown และวงของเขาภายใต้ชื่อ Renown; คนเป่าแตร แกรี่ แกรนท์ ผู้เคยร่วมงานกับ Buddy Morrow, Woody Herman และ Bob Crosby; นักคีย์บอร์ด แรนดี้ เคอร์เบอร์ และอดีตนักเล่นเครื่องดนตรีแจ๊สแฟรงค์ มาร็อคโค ทั้งคู่เคยร่วมงานกับ Quincy Jones; นักเป่าทรอมโบน ชาร์ลี โลเปอร์ ผู้เคยร่วมงานกับ Jimmy Dorsey, Lionel Hampton และ Glenn Miller Orchestra; วอร์เร็น ลูนิ่ง อดีตเคยร่วมงานกับ Pete Fountain รวมถึงนักร้องสาว Rosemary Clooney และ Peggy Lee; คนเป่าแตร ริค แบพทิสต์ ผู้เคยร่วมงานกับ Ray Anthony มือกลอง สตีฟ เชฟเฟอร์ ผู้เคยร่วมงานกับ Doc Severinson, Sarah Vaughn และ Jimmy Rushing และปีเตอร์ เอิสคิน ผู้เคยร่วมงานกับ Stan Kenton ในการดำเนินประเพณีของครอบครัว ดัสติน ลูกชายของแดน ฮิกกินส์ ถนัดการเล่นกีต้าร์

“ผลงานในอดีตของนักแสดงเหล่านี้ค้นหาย้อนหลังได้จากยุคที่ดนตรีเฟื่องฟู ตั้งแต่ปลายปี 40 จนมาถึงปัจจุบัน” แดน ฮิกกินส์ เล่าว่า “ไม่ว่าจะเป็นแบ็คอัพของนักร้องชื่อดังหรือผู้เดินสายไปทั่วประเทศกับวงดนตรีแนวแดนซ์ สมาชิกในวงดนตรีของ The Gangster Squad เปี่ยมล้นไปด้วยความสามารถที่พัฒนาบนเส้นทางสายดนตรีตลอดช่วงเวลาหลายทศวรรษ”

“ทุกวันที่มาสร้างผลงานในภาพยนตร์เรื่อนี้ ผมรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปด้วยไทม์แมชชีน” เฟล็สเชอร์กล่าวสรุป “เหมือนได้ย้อนกลับไปในยุคที่มีความรุนแรง ความรัก เหตุการณ์สำคัญจริงๆ ภาพยนตร์ถ่ายทอดเรื่องราวของการต่อสู้เพื่อผู้คนในลอสแองเจลิส ผมว่าเราสร้างหนังแนวแก๊งสเตอร์ให้กับผู้ชมยุคนี้ ซึ่งแฟนหนังสมัยก่อนจะต้องรักหนังเรื่อนี้ มิคกี้ โคเฮนคือตัวการร้ายของเรา เจ้าหน้าที่ตำรวจจะโค่นเขาลงให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม มันค่อนข้างแตกต่างจากชีวิตจริงของเราไปสักหน่อย แต่ต้องขอบคุณในการต่อสู้และชัยชนะของหน่วยตำรวจผู้กล้าบางคน และอาชญากรรมที่ไม่ปล่อยให้เกิดรอยร้าวขึ้นในแอล.เอ.”

Gangster Squad – ‘Redemption’ Featurette

GANGSTER SQUAD – ‘Recruit’ Featurette :: OV ENGLISH ENCODES & STREAMING LINKS

GANGSTER SQUAD – International Featurettes :: OV ENGLISH ENCODES & STREAMING LINKS