ในปี 2013 ทั่วประเทศตอบสนองกับคอนเซ็ปต์ที่ปลุกเร้าความรู้สึก ที่ว่าในหนึ่งค่ำคืนของทุกปี อาชญากรรมทุกรูปแบบจะกลายเป็นเรื่องถูกกฎหมาย ผู้ชมเนืองแน่นโรงภาพยนตร์ทำให้ The Purge กลายเป็นภาพยนตร์ม้ามืดประจำซัมเมอร์นั้น ด้วยการเปิดตัวอันดับหนึ่งบ็อกซ์ออฟฟิศด้วยรายได้เปิดตัวในอเมริกา 34.1 ล้านเหรียญ
หลังจากได้เห็นถึงปฏิกิริยาที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้และได้ฟังบทสนทนาที่เกิดขึ้นตามมา เจมส์ เดอโมนาโก (มือเขียนบท/ผู้กำกับ The Purge และมือเขียนบท The Negotiator, Assault on Precinct 13) ก็ตัดสินใจหวนคืนสู่โลกสุดระทึกที่เขาสร้างขึ้นด้วยไอเดียที่น่าติดตามยิ่งขึ้นสำหรับซีเควล นั่นคือการพาผู้ชมผจญภัยในท้องถนนระหว่างพิธีชำระล้างประจำปี
ทริลเลอร์เหตุการณ์สมมติที่แสดงให้เราได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่าง The Purge นอกเหนือจากอาณาเขตของย่านที่พักอาศัยชานเมือง The Purge: Anarchy นำเรากลับสู่อนาคตดิสโทเปียอีกครั้งหนึ่ง รัฐบาลของเรา ที่บัดนี้ถูกควบคุมโดยผู้ก่อตั้งอเมริกาใหม่ (เอ็นเอฟเอ) ได้ประกาศบังคับให้มีพิธีชำระล้างประจำปี 12 ชั่วโมงขึ้นเพื่อเป็นเครื่องรับประกันว่าอัตราการเกิดอาชญากรรมในช่วงเวลาที่เหลือตลอดทั้งปีจะอยู่ในระดับต่ำกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ การระงับความช่วยเหลือจากตำรวจและโรงพยาบาลทำให้มันเป็นค่ำคืนที่ชาวเมืองใช้กฎเกณฑ์ของตัวเอง โดยไม่ต้องคำนึงถึงบทลงโทษ หรือกลัวว่าจะถูกตัดสินความผิด
ได้เวลานำความไร้กฎเกณฑ์นี้ออกสู่ท้องถนนแล้ว
เรื่องราวใหม่นี้ติดตามกลุ่มคนห้าชีวิตที่ในค่ำคืนนั้นได้พบว่าพวกเขายอมทำถึงขนาดไหนเพื่อปกป้องตัวเอง และกันและกัน ในระหว่างที่พวกเขาสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจากค่ำคืนที่เต็มไปด้วยการตัดสินใจที่เป็นไปไม่ได้
เราเริ่มต้นเรื่องราวของเราด้วยลีโอ (แฟรงค์ กริงโลจาก Captain America: The Winter Soldier, Zero Dark Thirty) ชายรักสันโดษ นายสิบผู้สูญเสียลูกชายไปก่อนหน้าค่ำคืนนี้ เขาพกปืนและชุดเกราะด้วยความตั้งใจที่จะรอดชีวิตจวบจนรุ่งสางของเช้าวันใหม่ เขาเป็นชายผู้มีเป้าหมายในใจ…ด้วยภารกิจที่จะล้างแค้นคนที่ทำให้เขาต้องพบเจอกับความสูญเสียนั้น
อีวา (คาร์เมน อีโจโก จาก Away We Go และ Selma) เป็นแม่ลูกติด ที่พยายามจะหาเลี้ยงชีพ และใช้ชีวิตอยู่ในย่านอาชญากรรมของเมือง เธออาศัยอยู่กับคาลี (โซอี้ โซลจาก Prisoners และซีรีส์ Reed Between the Lines) ลูกสาววันทีนเอจ และไม่มีเงินมากพอที่จะจัดหาระบบรักษาความปลอดภัยแบบพวกเศรษฐีมีเงินได้ เมื่อพวกเธอถูกจู่โจมในบ้านที่พวกเธอพยายามจะซ่อนตัว และกำลังจะถูกกลุ่มคนในหน้ากากจับตัวไป อีวาและคาลีก็ได้รับช่วยเหลือจากชายแปลกหน้าที่ชื่อลีโอ ทำให้พวกเธอรอดพ้นจากความตาย
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ต้องการจะเอาตัวเข้าไปพัวพันกับเรื่องที่จะทำให้ไขว้เขวจากแผนการล้างแค้นคนที่ทำร้ายครอบครัวเขา ในตอนที่ลีโอพบเห็นพวกเธอถูกลักพาตัว เขาก็ลั่นกระสุนเพื่อปกป้องอีวาและคาลีในทันใด ในขณะเดียวกัน คู่สามีภรรยาที่กำลังจะแยยกทางกัน เชน (แซ็ค กิลฟอร์ดจาก Devil’s Due, ซีรีส์ Friday Night Lights) และลิซ (คีล ซานเชซ จาก A Perfect Getaway, ซีรีส์ The Glades) ก็ตกเป็นเหยื่อของการถูกปล้นรถในตอนที่พิธีชำระล้างเริ่มต้นขึ้น พวกเขาหาที่หลบซ่อนตัวในรถหุ้มเกราะของลีโอ และได้ร่วมมือกับคนแปลกหน้าเหล่านี้ในการปกป้องตัวเองจากผู้ที่ต้องการจะใช้สิทธิในการก่อความวุ่นวายของพวกเขา
ในตอนที่คนกลุ่มนี้ตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่ผู้นำเคยบอกกับพวกเขา พวกเขาจะถูกไล่ล่าท่ามกลางเมืองใหญ่ ในสถานการณ์ที่ถ้าพวกเขาไม่ฆ่าก็จะเป็นฝ่ายที่ถูกฆ่า ซึ่งทำให้เส้นแบ่งระหว่างการแก้แค้นที่ได้รับการสนับสนุนและความยุติธรรมเลือนลางไป
ผู้ที่กลับมาร่วมงานกับเดอโมนาโกอีกครั้งหนึ่งคือผู้อำนวยการสร้างของเรื่อง เจสัน บลูมจากบลูมเฮาส์ โปรดักชันส์ (Paranormal Activity, Insidious, Sinister), หุ้นส่วนจากแพลตินัม ดูนส์ ไมเคิล เบย์ (Pain & Gain, แฟรนไชส์ Transformers), แอนดรูว์ ฟอร์ม (The Texas Chainsaw Massacre, Friday the 13th) และแบรด ฟูลเลอร์ (The Amityville Horror, A Nightmare on Elm Street) ร่วมด้วยเซบาสเตียน เค. เลอเมอร์ซิเออร์ (The Purge, Assault on Precinct 13)
สำหรับในภาคสองนี้ เดอโมนาโกได้รวมทีมงานเบื้องหลังที่ประสบความสำเร็จมากมาย ซึ่งรวมถึงผู้กำกับภาพ ฌาคส์ โจฟเฟร็ท (Lone Survivor, The Purge), ผู้ออกแบบงานสร้าง แบรด ริคเกอร์ (Solace และ Foxcatcher ที่กำลังจะเข้าฉาย), มือลำดับภาพ ท็อดด์ อี. มิลเลอร์ (Joy Ride, Exorcist: The Beginning) และวินซ์ ฟิลิปโปน (I Am Number Four, Disturbia) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ฮาลา บาห์เม็ท (The Prize Winner of Defiance, Ohio, Bringing Up Bobby) ผู้ประพันธ์ดนตรี นาธาน ไวท์เฮ้ด (The Purge, ซีรีส์ The Last Ship) กลับมาแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ซีเควลเรื่องนี้อีกครั้ง
The Purge: Anarchy ควบคุมงานสร้างโดยฌอนเน็ทท์ โวลเทอร์โน-บริล (The Boy Next Door) และลุค เอเตียง (Getaway)
เกี่ยวกับงานสร้าง
The Purge: Anarchy เริ่มต้น
จากความสำเร็จของ The Purge สรุปได้ว่าผู้ชมชื่นชอบคอนเซ็ปต์นี้และถามตัวเองว่า ‘ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ในละแวกบ้านฉันจะทำยังไง’ แต่สำหรับมือเขียนบท/ผู้กำกับเจมส์ เดอโมนาโกและผู้อำนวยการสร้างเซบาสเตียน เค. เลอเมอร์ซิเออร์ เดิมทีพวกเขาตั้งใจสร้างทริลเลอร์เรื่องนี้ให้เป็นภาพยนตร์ฟอร์มเล็กที่ทำหน้าที่วิพากษ์สังคม
เดอโมนาโกแปลกใจพอๆ กับทุกคนที่คอนเซ็ปต์นี้กลายเป็นที่ชื่นชอบอย่างสากล เขาบอกว่า “ตอนแรก ผมกับเซบาสเตียนคิดว่ามันคงจะเป็นหนังอินดีการเมืองที่จะฉายในโรงหนังอาร์ตเฮาส์เล็กๆ ในลอสแองเจลิสและนิวยอร์ก สำหรับผม ครอบครัวในภาคแรกไม่ได้สูงส่งอะไรเลย ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับหนังฮอลลีวูด เรามองว่า The Purge เป็นเหมือนละครสอนใจเกี่ยวกับเคราะห์ร้ายของครอบครัวนี้และบทเรียนที่พวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับความรุนแรง เงินตราและชนชั้น มันถูกสร้างขึ้นให้กระตุ้นความคิดมากกว่าจะทำรายได้เชิงพาณิชย์ แต่ตอนนี้มันกลับเป็นทั้งสองอย่าง”
จริงๆ แล้ว เดอโมนาโกเป็นคนแรกที่ยอมรับว่า เขาไม่เพียงแต่ต้องการให้ภาพยนตร์ของเขาสร้างความบันเทิงเท่านั้น แต่เขายังอยากให้มันเป็นตัวจุดประกายให้เกิดการพูดคุยด้วย เขาเล่าว่า “กับแฟรนไชส์นี้ ผมหวังว่าจะสะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่างในสังคมอเมริกัน เกี่ยวกับการที่เรามองดูความรุนแรง มันแตกต่างจากที่อื่นๆ ในโลกมากๆ เราพบว่าผู้ชมเดินออกจากโรงหนังแล้วพูดคุยถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเรากับความรุนแรงในฐานะสังคมน่ะครับ”
ผู้กำกับรู้สึกว่าถ้าเขาจะกลับมาสู่ยุคสมัยและสถานที่นั้นอีกครั้งเพื่อสร้างภาคต่อ เขาก็จะสามารถต่อยอดจากคอนเซ็ปต์เดิมและเผยให้ผู้ชมเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกที่เขาจินตนาการขึ้น โลกที่อยู่นอกขอบเขตของสังคมชานเมืองในทริลเลอร์ภาคแรก เขาเล่าว่า “เราพูดเสมอว่าถ้าเราโชคดีได้ทำภาคสอง เราก็อยากจะแสดงให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในท้องถนนในเมืองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา เรานึกภาพของการสำรวจเมืองนั้นเพราะเรารู้สึกว่าผู้ชมจะอยากเห็นมากกว่าที่เราให้พวกเขาได้เห็นในภาคแรกน่ะครับ”
สำหรับ The Purge: Anarchy เดอโมนาโกได้ขยายขอบเขตของเรื่องออกไป และเผยให้ผู้ชมได้เห็นว่าการได้ก้าวออกไปข้างนอกและสัมผัสกับพิธีชำระล้างในสายตาของพลเมืองชั้นล่าง ที่ไม่มีระบบความปลอดภัยซับซ้อนมาคุ้มครองตัวเองเป็นอย่างไร เดอโมนาโกล้วงลึกเข้าไปในไอเดียเบื้องหลัง The Purge “เบื้องหลังความคิดทั้งหมดนี้ เบื้องหลังสิ่งที่รัฐบาลกำลังชักจูงให้คุณปลดปล่อยความก้าวร้าวของคุณออกมา บอกคุณว่ามันทำให้คุณเป็นพลเมืองที่ดีขึ้น เป็นแผนลวงครับ จริงๆ แล้ว พิธีชำระล้างไม่ได้ทำแบบนั้น รัฐบาลมีอีกเป้าหมายหนึ่งต่างหาก”
ทีมงานเบื้องหลังภาพยนตร์เรื่องนี้รู้ดีว่าสัญชาตญาณของมือเขียนบท/ผู้กำกับของพวกเขานำมาซึ่งความสำเร็จของภาคแรก และก็เชื่อมั่นว่าในภาคสองนี้ เขาจะผลักดันมันให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมเสียอีก ในฐานะผู้ร่วมงานกับเขาเป็นประจำ เลอเมอร์ซิเออร์เล่าว่า เดอโมนาโกสนใจกับการดึงดูดความสนใจของผู้ชมเป็นหลัก เขาเล่าว่า “นักเล่าเรื่องที่ดีคือคนที่ฟังเรื่องราวแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่บอกเล่ามันก็ตาม นั่นคือเจมส์ครับ เขารับรู้ทุกอย่างและอยากให้ผู้ชมเข้าถึงตัวละครและเข้าใจเรื่องราวครับ”
การสานต่อเรื่องราวพิธีชำระล้างประจำปีของผู้ก่อตั้งอเมริกาใหม่ (เอ็นเอฟแอล) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเลอเมอร์ซิเออร์ ผู้รู้ว่าผู้ชมจะตอบสนองต่อการขยายขอบเขตของโลกที่เดอโมนาโกได้จินตนาการเอาไว้ เขาเล่าถึงเหตุผลของทีมงานในการก้าวผ่านครอบครัวและละแวกที่พักอาศัยที่เราได้เห็นในภาคแรกว่า “The Purge เป็นไอเดียที่จะเวิร์คเมื่อมีการทำตัวแปลกไปจากปกติ มันเป็นคอนเซ็ปต์ที่จะเวิร์คในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เราไม่นำตัวละครกลุ่มเดิมกลับมา สิ่งที่เรากำลังทำกับคอนเซ็ปต์ของ The Purge คือพูดถึงประเด็นความรุนแรงที่อยู่ในสังคมครับ”
ในภาคสองของเดอโมนาโก เอ็นเอฟเอยังคงโฆษณาพิธีชำระล้างว่าเป็นประโยชน์ต่อพลเมือง ด้วยการประกาศบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่ 28 ที่เปิดโอกาสให้ชาวอเมริกันทุกคนมีสิทธิที่จะก่ออาชญากรรมได้ทุกรูปแบบในค่ำคืนที่บ้านเมืองไร้กฎหมายนี้ อย่างไรก็ดี มีกลุ่มเคลื่อนไหวใต้ดินที่เอ็นเอฟเอต้องการจะบดขยี้มาเนิ่นนาน ได้วางแผนและตั้งใจที่จะก่อการปฏิวัติเต็มรูปแบบขึ้น กฎเหล็กของเอ็นเอฟเอถูกต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพลเมืองจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งคำถามกับเหตุผลในการประกาศพิธีชำระล้าง
เดอโมนาโกและเลอเมอร์ซิเออร์ ที่ได้ร่วมงานกับบลูมเฮาส์ โปรดักชันส์ของเจสัน บลูมและแพลตินัม ดูนส์ของไมเคิล เบย์อีกคั้ง สามารถต่อยอดจากภาพยนตร์ฟอร์มเล็กของพวกเขาได้ ในส่วนของตัวเขาเอง บลูม ในฐานะผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ทุนต่ำที่ได้รับความนิยมอย่างสูงอย่างแฟรนไชส์ Paranormal Activity และ Insidious รวมถึง Sinister ได้คิดอย่างรอบคอบกับโมเดลธุรกิจที่มีประสิทธิภาพของเขาและสร้างความฮือฮาให้กับแวดวงภาพยนตร์ ด้วยความที่เขาคอยจับตามองกระแสความสนใจของผู้ชมอยู่แล้ว เขาก็เลยก่อให้เกิดแนวภาพยนตร์ที่เรียกว่าแนวเฉพาะกลุ่มขึ้นมา
บลูมมักเลือกทำงานกับผู้กำกับมากประสบการณ์ และเปิดโอกาสให้พวกเขามีอิสระในการสร้างสรรค์งานตามที่พวกเขาต้องการ แต่ในขณะเดียวกันก็คอยทำให้แน่ใจว่าการถ่ายทำจะอยู่ภายในงบประมาณจำกัดและภายในกำหนดเวลา จริงๆ แล้ว การร่วมงานระหว่างบลูม, เดอโมนาโก, เลอเมอร์ซิเออร์และผู้อำนวยการสร้างเบย์, แอนดรูว์ ฟอร์มและแบรด ฟูลเลอร์จากแพลตินัม ดูนส์ ก็เป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับแฟรนไชส์นี้ บลูมให้ความเห็นว่า “ผมชื่นชอบทุกอย่างเกี่ยวกับกระบวนการทำงานของเจมส์ เขามีความทุ่มเทอย่างเหลือเชื่อและมีมุมมองที่ชัดเจน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ฟังคนอื่นด้วย สำหรับมือเขียนบทและผู้กำกับส่วนใหญ่ พวกเขาจะมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง คือพวกเขาจะฟังมากเกินไป หรือไม่งั้นก็จะหัวรั้นเกินไปจนไม่ฟังอะไรเลย แต่เจมส์อยู่ตรงกลางและเขาก็แคร์อย่างมากถึงสิ่งที่เขากำลังทำ มันสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่อยู่รอบด้านเขาครับ”
ผู้อำนวยการสร้างยังได้พูดแบบเดียวกันนี้ถึงหุ้นส่วนในงานสร้างของเขา “แพลตินัม ดูนส์กลายเป็นหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดกับเราอย่างเหลือเชื่อในหนังเรื่องนี้ การที่ผมได้ร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้างพรสวรรค์อย่างไมเคิล, แบรด และแอนดรูว์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการทำให้แน่ใจว่าเราจะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่เรามีสำหรับหนังแต่ละเรื่องให้ได้มากที่สุด” บลูมกล่าวต่ออีกว่า “เมื่อเราได้เห็นปฏิกิริยาที่ผู้ชมมีต่อ The Purge เราก็มุ่งมั่นกับการให้สิ่งที่เจมส์ต้องการเพื่อขยายความสามารถในการเล่าเรื่องของเขาให้เต็มที่สำหรับซีเควลครับ”
สำหรับทีมงานทุกคน เป็นเรื่องสำคัญที่จะหวนคืนสู่ค่ำคืนนั้นและเปิดม่านของพิธีชำระล้างออก “หลังจากที่เรานำเสนอภาคแรก หลายคนก็บอกว่า ‘เราอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตามท้องถนนหรือในสวนสาธารณะ ในประเทศ หรือกับคนรวย คนจนบ้าง’ น่ะครับ” บลูมกล่าว “ชาวอเมริกันทุกคนคงจะมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันไปในค่ำคืนชำระล้าง มีเรื่องราวมากมายให้ได้บอกเล่าระหว่างพิธีชำระล้างและนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราอยากจะสร้างภาคสอง และก็หวังว่าเราจะได้สร้างอีกหลายๆ ภาคด้วยนะครับ”
เป็นเวลาหลายปีที่เบย์, ฟอร์มและฟูลเลอร์ได้สร้างภาพยนตร์ที่แปลกใหม่ ภายใต้งบประมาณที่เหมาะสม ภายใต้แบนเนอร์แพลตินัม ดูนส์ และทริลเลอร์เหนือธรรมชาติสุดลุ้นระทึกของพวกเขาก็เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมในวงกว้าง ด้วยการปลุกตำนานของภาพยนตร์ฮิตอย่าง A Nightmare on Elm Street, The Texas Chainsaw Massacre และ The Amityville Horror พวกเขาได้แนะนำให้ผู้ชมรุ่นใหม่ได้รู้จักคอนเซ็ปต์ที่กระตุ้นความกลัว แต่ก็ปัดฝุ่นเรื่องราวเหล่านี้ให้แฟนๆ ดั้งเดิมได้สนุกกันอีกด้วย และการที่พวกเขาตัดสินใจเสี่ยงกับ The Purge ก็ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ฟอร์มพูดถึงความจริงที่ว่า ความสำเร็จของภาคแรกเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง “เรารู้ว่าเรามีไอเดียที่เหลือเชื่อ แต่เราก็ไม่รู้ว่าผู้ชมจะตอบสนองกับมันยังไง แม้แต่ตอนที่เรากำลังถ่ายทำหนังภาคแรก เราก็อยากจะนำไอเดียนั้นสู่พื้นที่ที่กว้างขวางกว่านั้น แต่เราไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ดังนั้น พอมันไปได้สวย และผู้ชมก็มีเสียงตอบรับในแง่บวกสำหรับไอเดียของพิธีชำระล้าง เราก็เลยสามารถก้าวไปข้างหน้าแล้วขยายโลกใบนี้ออกไปได้น่ะครับ”
สำหรับบทต่อไป ทีมผู้สร้างเห็นพ้องกันว่า หนทางเดียวที่จะมอบสิ่งที่ผู้ชมต้องการให้กับพวกเขาได้คือการขยายโลกใบนี้ออกไปนอกขอบเขตของบ้านหนึ่งหลัง ฟอร์มขยายความว่า “เรารู้ว่าเราอยากจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกของสังคมเมือง ที่มีคนกลุ่มหนึ่งติดอยู่ข้างนอกบ้าน ที่ผู้ชมจะได้เห็นเรื่องราวบิดเบี้ยวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนของพิธีชำระล้าง ว่าทำไมคนถึงออกไปข้างนอกเพื่อก่อเรื่องราว ทำไมคนส่วนหนึ่งถึงติดอยู่ข้างนอกนั่น และปล่อยให้ผู้ชมคาดเดาตลอดเวลา เจมส์ประสบความสำเร็จจริงๆ กับโปรเจ็กต์นี้ครับ”
ฟูลเลอร์กล่าวเห็นพ้องด้วยกับเพื่อนผู้อำนวยการสร้างของเขาถึงความสามารถของเดอโมนาโกในการทำให้ผู้ชมรู้สึกได้จริงๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ำคืนของพิธีชำระล้าง “โดยแก่นแล้ว เจมส์เป็นศิลปินที่ตอบรับการสร้างหนังเชิงพาณิชย์ด้วยแฟรนไชส์นี้ และเขาก็ทำได้สำเร็จ การร่วมงานกับเขาเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง ถ้าเราโชคดีได้สร้าง Purge อีกภาคล่ะก็ มันก็เป็นเรื่องสำคัญที่เขาจะต้องเป็นผู้กำกับครับ”
คนเหมือนเรา:
การคัดเลือกนักแสดงสำหรับทริลเลอร์เรื่องนี้
ก่อนหน้าการคัดเลือกนันกแสดง ทีมผู้สร้างมีความคิดชัดเจนว่ามันจะไม่เป็นภาพยนตร์ตื่นเต้นที่จะมองข้ามความสำคัญของพัฒนาการตัวละคร ดังนั้น ก็เป็นเรื่องสำคัญในการใช้เวลา 20 นาทีแรกของ The Purge: Anarchy ไปกับการทำให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงสถานการณ์ของตัวละครแต่ละคนอย่างลึกซึ้ง เดอโมนาโกบอกว่า “ผมบอกว่า ‘ถ้าเราจะสร้างหนังเรื่องนี้ มารู้จักคนพวกนี้กันเถอะ’ น่ะครับ ผมคิดว่า ถ้าเราไม่แคร์พวกเขาเลย เราก็จะไม่แคร์ว่าใครจะอยู่หรือตาย ผมไม่อยากได้เหยื่อที่จะถูกฆ่าแบบสุ่มเลือกในค่ำคืนนี้หรอกนะครับ”
ก่อนหน้านี้ เดอโมนาโกเคยร่วมงานกับแฟรงค์ กริลโลมาแล้วในมินิซีรีส์เรื่อง The Kill Point ดังนั้น การเลือกเขาให้มารับบท ลีโอ ชายหนุ่มแข็งกร้าวผู้มากความสามารถก็เลยเป็นเป้าหมายสำคัญ กริลโลเหมาะกับบทนี้มาก เดอโมนาโกบอกว่า “ผมชื่นชอบผลงานของแฟรงค์มาหลายปีแล้ว และผมก็ติดตามผลงานของเขาตั้งแต่ The Kill Point พอผมคิดตัวละครตัวนี้ขึ้นมา ผมก็โทรไปหาเซบาสเตียนแล้วบอกว่า ‘จะต้องเป็นแฟรงค์นะ’ แฟรงค์เป็นคนที่แข็งแกร่งในชีวิตจริง และเราก็อยากได้นักแสดงที่ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งเป็นคนแกร่งน่ะครับ”
ฟูลเลอร์กล่าวเห็นด้วยกับผู้กำกับพลางหัวเราะว่า “ถ้าผมจะต้องออกไปข้างนอกในค่ำคืนพิธีชำระล้าง ผมก็อยากจะอยู่กับแฟรงค์ กริลโลครับ ผมรู้ว่าผมจะต้องรอดเพราะเขาจะพาผมไปให้รอดให้ได้น่ะครับ”
สำหรับกริลโล บลูมรู้ว่าเดอโมนาโกเลือกคนที่เหมาะสมแล้ว “เจมส์ตั้งใจที่จะหาคนที่ให้ความรู้สึกเหมือนวีรบุรุษ แต่ก็รู้สึกเหมือนเป็นคนธรรมดา และนั่นคือสิ่งที่แฟรงค์ทำได้ดีที่สุด เขาให้ความรู้สึกเหมือนเขาอาจจะเป็นเพื่อนคุณ แต่ก็ไกลเกินเอื้อมตรงความเป็นวีรบุรุษของเขา นั่นเป็นตัวละครของเขาในหนังเรื่องนี้ คนที่ถือแต้มน้อยกว่าที่คุณคิดว่าเป็นคนช่างประชดประชันแต่จริงๆ แล้วเป็นคนที่มีจิตใจดีงามครับ”
กริลโลพูดถึงการมาร่วมงานในทริลเลอร์สมมติเรื่องนี้ว่า “ผมกำลังเดินทางไปแอลเอ แล้วเจมส์ก็โทรหาผม บอกว่าเขากำลังจะสร้างซีเควลของ The Purge เขาเคยพูดถึงมันให้ผมฟังมาก่อนที่ผมจะได้อ่านบทเสียอีก และมันก็ฟังดูเหมือนหนังเวสเทิร์นยุคเก่า…เหมือนอย่าง The Outlaw Josey Wales ผมคิดว่ามันน่าสนใจและกระตุ้นความคิด และหลังจากที่เขาส่งบทให้ผมอ่าน ผมก็ตกลงเลยครับ”
ในขณะที่ภาคแรกถูกบอกเล่าผ่านทางมุมมองของครอบครัวแซนดินที่ร่ำรวยในย่านชานเมือง เดอโมนาโกเลือกจะโฟกัส The Purge: Anarchy ในอีกฟากฝั่งหนึ่ง สู่กลุ่มคนที่เป็นเป้าหมายในพิธีชำระล้างประจำปี กริลโลแสดงความสนใจไอเดียนี้เป็นพิเศษ เขาเล่าว่า “ในหนังเรื่องนี้ คุณจะได้เห็นจริงๆ ว่าพิธีชำระล้างคืออะไร แล้วทำไมมันถึงเกิดขึ้นมา มันทำให้คุณต้องครุ่นคิดว่าจุดยืนของสังคมเราอยู่ตรงไหนในเรื่องความรุนแรงและอคติ และสิ่งที่เราต้องรับมือกับมันในชีวิตประจำวันด้วยครับ”
หลังจากได้ตัวกริลโลแล้ว ทีมผู้สร้างก็เลือกคาร์เมน อีโจโก มารับบท อีวา แม่ผู้มีคาลี ลูกสาวของเธอ เป็นแรงใจของเธอ เพียงไม่กี่นาทีก่อนที่พิธีชำระล้างประจำปีจะเริ่มต้นขึ้นตอนหนึ่งทุ่มของวันที่ 21 มีนาคม เราได้รู้จักกับอีวา ผู้ทำงานที่ร้านอาหารเพื่อหาเลี้ยงชีพไปวันๆ และเธอก็ออกจากที่ทำงานหลังจากที่เธอรวบรวมความกล้าขอขึ้นเงินเดือนแต่ก็ถูกปฏิเสธ
อีโจโกเล่าถึงสิ่งที่ทำให้เธอสนใจตัวละครและภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “ฉันโตมากับการได้ดูหนังอย่าง The Parallax View, Soylent Green ที่เป็นหนังทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับรัฐบาลน่ะค่ะ และหนังเรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะเข้าข่ายด้วย ฉันก็รู้เลยว่า ในแง่ของประเด็นแล้ว มันจะต้องเป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับฉันแน่ๆ” นอกจากนี้ เธอยังชื่นชอบที่ว่าบทภาพยนตร์เรื่องนี้มีข้อคิดที่มีความหมาย “ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าสนใจที่ว่ามันเป็นการวิพากษ์สังคมในเรื่องความรุนแรงจากอาวุธปืนในอเมริกา ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันสนใจมากๆ และเป็นสิ่งที่ก่อเกิดปัญหาตามมามากมายในเชิงวัฒนธรรมสำหรับเราทุกคน นอกเหนือจากนั้น ตัวละครของฉันยังได้ผ่านความเปลี่ยนแปลงที่เหลือเชื่อ จากการเป็นคนที่ถูกกระทำ ต้องพึ่งพาลูกสาว กลายเป็นคนที่ลงมือก่อนและเชื่อมั่นในตัวเองค่ะ”
ในตอนที่อีวามุ่งหน้ากลับอพาร์ทเมนต์เล็กๆ ของเธอในฝั่งที่ยากจนของเมือง เธอก็ถูกคุกคามโดยดิเอโก (รับบทโดยโนเอล กูกลีมีจาก Training Day) ก่อนที่เธอจะกลับเข้าบ้านนไปหาคาลี ลูกสาวผู้เข้มแข็งและกล้าพูดของเธอ เด็กสาววัย 16 ปีผู้นี้ เชื่อในคำสอนของคาร์เมโล (รับบทโดยไมเคิล เค. วิลเลียมส์จาก The Wire) ผู้ที่มีเป้าหมายในการโค่นล้มเอ็นเอฟเอ ในตอนที่อีวาและคาลีเตรียมตัวที่จะซ่อนตัวในบ้านระหว่างพิธีชำระล้าง ดิเอโกก็พังประตูเข้ามาและพยายามจะฆ่าทั้งคู่…นำมาสู่ค่ำคืนแห่งความหวาดสะพรึงสำหรับพวกเรา
สำหรับคาลี ทีมผู้สร้างตัดสินใจเลือกโซอี้ โซล นักแสดงดาวรุ่งหน้าใหม่ หลังจากถ่ายทำ Prisoners ทริลเลอร์อีกเรื่องหนึ่ง โซลก็สนใจที่จะล้วงลึกเข้าไปในภาพยนตร์แนวนี้ เธอเล่าถึงมุมมองของเธอที่มีต่ออเมริกาใหม่นี้ว่า “หนังเรื่องนี้สำรวจสิ่งที่เกิดขึ้นข้างนอก ไม่ใช่ข้างในกับครอบครัวหนึ่งในบ้านหลังหนึ่งเท่านั้น ฉันสนใจที่จะได้เห็นว่ามันจะนำพาเราไปที่ไหน การรับบทคาลีสนุกมากค่ะเพราะเธอเป็นเด็กสาววัย 16 ปีที่เข้มแข็ง และเธอก็ทำให้ฉันนึกถึงตัวเองตอนที่อายุน้อยกว่านี้นิดหน่อยน่ะค่ะ”
เดอโมนาโกเขียนตัวละครตัวนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นเข็มทิศด้านศีลธรรมของเรื่อง และช่วยดึงลีโอกลับมาสู่ความเป็นมนุษย์ในตอนที่เขาเริ่มค่อยๆ เผชิญหน้ากับตัวตนในปัจจุบันของเขา เขาอธิบายว่า “คาลีเป็นคนที่พูดถึงพิธีชำระล้างตลอดทั้งคืนและคอยแหย่ลีโอถึงความถูกต้องทางศีลธรรมของพิธีนี้น่ะครับ”
หลังจากนั้น ทีมผู้สร้างก็ออกตามหานักแสดงที่จะรับบทคู่รักที่กำลังจะแยกทางกัน เชนและลิซ ตัวละครสองคนที่อยู่คนละฝั่งเมืองจากตัวละครคนอื่นๆ เชนและลิซที่รวบรวมข้าวของของตัวเองก่อนที่พิธีชำระล้างจะเริ่มต้นขึ้นและปรึกษาหารือกันว่าจะบอกครอบครัวยังไงว่าพวกเขาจะแยกทางกัน ค้นพบว่าชายสวมหน้ากากบนรถมอเตอร์ไซค์ได้ตัดสายน้ำมันของพวกเขา ทำให้ทั้งคู่ไม่มีทางเลือกอื่น และจำต้องหาที่พักพิงก่อนที่พิธีชำระล้างจะเริ่มต้นขึ้น…โดยด่วน
หลังจากสัมภาษณ์แซ็ค กิลฟอร์ดและคีล ซานเชซ ภรรยาของเขา แยกกัน ทีมผู้สร้างก็ตระหนักว่าพวกเขาสามารถนำความสัมพันธ์จริงๆ มาใช้กับความสัมพันธ์ของตัวละครได้ เดอโมนาโกเล่าว่า “การที่แซ็คและคีลเป็นคู่สามีภรรยากันจริงๆ ทำให้เกิดความสมจริงกับความสัมพันธ์ของพวกเขา มีฉากหนึ่งที่พวกเขาทะเลาะกันในรถ ซึ่งสมจริงมากๆ เพราะแน่นอนครับว่าพวกเขาเคยทำแบบนั้นมาก่อนในชีวิตจริง”
เชนและลิซ ที่ค่อยๆ หาทางเข้ามาในเมือง บังเอิญเจอกับลีโอ ที่กำลังสาดกระสุนเข้าใส่กลุ่มชายสวมหน้ากากและผู้นำของพวกเขา บิ๊ก แด๊ดดี้ (แจ็ค คอนลีย์จาก Gangster Squad) เพื่อพยายามจะช่วยคาลีและอีวา เชนและลิซ ที่พบที่ซ่อนตัวในรถหุ้มเกราะของลีโอ พบความสงบชั่วครู่ ก่อนที่ลีโอ, อีวาและคาลีจะพบตัวพวกเขา เหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างน่าสะพรึงกลัวทำให้พวกเขาพบว่า พวกเขาไม่มีทางรอดชีวิตหากเดินทางตามลำพัง และพวกเขาก็ร่วมผจญภัยในค่ำคืนนี้ด้วยกัน ด้วยความหวังว่าจะรอดชีวิตให้ได้
สิ่งที่ทำให้กิลฟอร์ดสนใจภาพยนตร์เรื่องนี้คือคอนเซ็ปต์แปลกใหม่ เขาเล่าว่า “มันเป็นมุมมองที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงกับหนังภาคแรก ซึ่งผมคิดว่าสนุกมาก มันไม่ได้เป็นความจงใจที่จะให้ตัวละครจากภาคแรกสานต่อเรื่องราวของพวกเขา แต่มันเป็นการเล่าอีกเรื่องหนึ่งจากคืนนั้นครับ”
ซานเชซชื่นชมมุมมองที่เดอโมนาโกมีต่อความหมายที่แท้จริงของพิธีชำระล้าง เธอเล่าว่า “ฉันกับเจมส์คุยกันว่าเราทั้งคู่กลัวปืนมากแค่ไหนและจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณอยู่ในสังคมที่มีวัฒนธรรมปืน ในหนังเรื่องนี้ เรามีพวกหัวคิดใหม่ที่มีคำตอบว่ารัฐบาลที่อยู่เบื้องหลัง ต้องการจะกำจัดคนจน ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงและน่าสนใจอย่างเหลือเชื่อค่ะ”
สำหรับผู้ร้ายในภาคใหม่นี้ เดอโมนาโกคิดถึงการสร้างตัวแทนของเอ็นเอฟเอและวัตถุประสงค์ลับของพวกเขา ภาพที่เขาคิดไว้กลายเป็นจริงขึ้นมาด้วยบิ๊ก แด๊ดดี้ ที่รับบทโดยแจ็ค คอนลีย์ เดอโมนาโกเล่าว่า “บิ๊ก แด๊ดดี้ เป็นผู้นำที่ถูกเลือกของกลุ่มคนตามท้องถนน ที่ปฏิบัติตามเป้าประสงค์ของรัฐบาลครับ พวกเขามีรถบรรทุกสีดำที่จะคืบคลานไปรอบเมือง จากที่หนึ่งสู่อีกที่หนึ่ง เพื่อกำจัดผู้คนครับ”
แฟรนไชส์ The Purge จะไม่สมบูรณ์หากขาดกลุ่มคนสวมหน้ากากที่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกสำหรับทุกคนที่พบเจอ ใน The Purge: Anarchy คนสวมหน้ากากผีคือกลุ่มเด็กจากในเมืองที่ตระหนักว่า พวกคนรวยทำพิธีชำระล้างด้วยการประมูลเหยื่อของพวกเขาในการประมูล ผู้ชนะในการประมูลแต่ละครั้งจะได้สวมแว่นสายตากลางคืนและล่าเหยื่อของพวกเขาในโกดังมืดๆ ดังนั้น โอกาสที่เหยื่อจะรอดชีวิตก็มีน้อยมาก เดอโมนาโกเล่าว่า “ตลอดเรื่อง เราจะได้เห็นแก๊งนี้ลักพาตัวผู้คน และสงสัยว่าพวกเขาพาคนเหล่านั้นไปไหน แล้วเราก็ได้รู้ว่าพวกเขาขายคนกลุ่มนี้ให้กับคนรวยในการประมูล มันเป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวและจุดประเด็นหักมุมใหม่ขึ้นในคอนเซ็ปต์ของเราครับ”
ทีมนักแสดงสมทบใน The Purge: Anarchy รวมถึงจูดิธ แม็คคอนเนลในบทหญิงชราผู้สง่างาม ผู้ทำหน้าที่จัดการประมูล, จอห์น บีสลีย์ในบท ปาป้า ริโก พ่อของอีวาและตาของคาลี ผู้เสียสละตัวเองเพื่อครอบครัวของเขา และจัสตินา มาคาดู ผู้รับบท ทันยา เพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงานของอีวา
การออกแบบ โลเกชัน และเครื่องแต่งกาย
เมื่อพร้อมจะขยายโลกที่เขาเคยสร้างขึ้น โลกที่พิธีชำระล้างปะทุขึ้นตามท้องถนนในเมืองใหญ่ เดอโมนาโกและทีมผู้อำนวยการสร้างก็ได้รวมทีมงานเบื้องหลังมากพรสวรรค์เพื่อเนรมิตโลกภายนอกที่พวกเขาได้จินตนาการเอาไว้ ผู้ออกแบบงานสร้าง แบรด ริคเกอร์และทีมงานของเขาได้ออกแบบลอสแองเจลิสแบบดิสโทเปีย ด้วยการใช้บ้านและท้องถนนรอบๆ เมืองเป็นหลัก และจะสร้างฉากขึ้นมาเมื่อจำเป็นเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ฮันท์ คลับถูกสร้างขึ้นในโกดังแห่งหนึ่งในย่านดาวน์ทาวน์ของลอสแองเจลิสและอพาร์ทเมนต์ของอีวาและคาลีก็อยู่ในอาคารจริงๆ ที่อยู่ในย่านดาวน์ทาวน์ของลอสแองเจลิสด้วยเช่นกัน
ผู้กำกับภาพฌาคส์ โจฟเฟร็ท ผู้กลับมารับหน้าที่เดิมอีกครั้ง ได้ถ่ายทำความวุ่นวายสุดระทึกและดิบเถื่อนให้ท็อดด์ อี. มิลเลอร์และวินซ์ ฟิลิปโปนได้ลำดับภาพ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายข ฮาลา บาห์เม็ท ได้จัดหาเครื่องแต่งกายสำหรับตัวละครเอกทั้งห้าคนที่ต้องสู้เพื่อเอาชีวิตรอดและนาธาน ไวท์เฮ้ดก็กลับมาแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ทริลเลอร์สมมตินี้อีกครั้งหนึ่ง
การออกแบบและโลเกชัน
ในการสร้างความรู้สึกสำหรับอเมริกา ที่อยู่ภายใต้การปกครองของเอ็นเอฟเอ ผู้ออกแบบงานสร้าง ริคเกอร์ เริ่มต้นด้วยการสร้างอนาคตดิสโทเปียที่น่าเชื่อขึ้นมา เขาเล่าว่า “ในการทำงานร่วมกับเจมส์ เราคุยกันถึงเรื่องราวว่ามันเกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณไหน แม้ว่ามันจะเป็นอนาคต แต่เราก็ไม่อยากจะบอกออกไปว่า ‘นี่คือหน้าตาของอนาคต’ เพราะมันเป็นโลกที่จำกัดมากๆ เรามีไอเดียว่าสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักในช่วง 10 ปี เพราะเราไม่อยากจะออกแบบโลกใบนี้ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดครับ”
ริคเกอร์และทีมงานของเขาได้รับมอบหมายให้ออกแบบและเลือกสิ่งแวดล้อมตามที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการ นั่นคือท้องถนนและตรอกมืดๆ อพาร์ทเมนต์ของอีวา, ทันยาและลีโอ รวมถึงฮันท์ คลับ ที่เหล่าคนร่ำรวยไปเล่นเกมสุดอันตราย ริคเกอร์พูดถึงฮันท์ คลับว่า “เจมส์กับผมคุยกันถึงเรื่องการสร้างคอร์สเพนท์บอลหรูหรา ให้มีอุปสรรคบางอย่าง ผมคิดว่า ‘อะไรจะสนุกไปกว่าการล่ามนุษย์ในสวนที่มีการดูแลอย่างดีล่ะ’ เราก็เลยคุยกันว่าคุณอยากจะทำอะไรถ้าคุณสามารถทำได้ทุกอย่างตามต้องการ และคุณอยู่ในโลกแฟนตาซีสุดเพี้ยนน่ะครับ”
ในขณะที่อพาร์ทเมนต์ของอีวาถูกเซ็ทในตัวอาคาร ริคเกอร์และทีมงานของเขาได้สร้างอพาร์ทเมนต์ของทันยาขึ้นบนซาวน์สเตจและฮันท์ คลับก็ถูกสร้างขึ้นในโกดังแห่งหนึ่ง เดอโมนาโกเล่าว่า “The Purge เกิดขึ้นในบ้านหลังเดียวและในละแวกที่พักอาศัยแห่งเดียว ซึ่งแน่นอนว่ามันก็มีความสะพรึงกลัวในระดับหนึ่ง แต่สำหรับซีเควล เราสามารถขยายขอบเขตของเราออกไปและสร้างเรื่องราวให้มีความน่าสะพรึงกลัวที่ต่างออกไปได้ครับ”
ริคเกอร์ยินดีที่เดอโมนาโกชื่นชอบการออกแบบของเขา “เป็นเรื่องดีเสมอที่ได้ร่วมงานกับมือเขียนบท/ผู้กำกับ เจมส์รู้ว่าเรื่องราวนี้ควรจะเป็นยังไง เขารู้จักโลกใบนี้และมีภาพคิดเอาไว้อยู่แล้ว เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีและเต็มใจที่จะรับฟังข้อเสนอแนะจำคนในสายงานอื่นๆ ครับ”
การถ่ายทำในท้องถนนในย่านดาวน์ทาวน์ลอสแองเจลิสเข้ากันอย่างดีกับโลกดิบเถื่อนของ The Purge: Anarchy ฟูลเลอร์อธิบายเพิ่มเติมว่า “บางครั้งเมื่อคุณถ่ายทำในโรงถ่าย คุณจะเห็นได้ว่ามันสะอาดเกินไปนิด การได้ถ่ายทำบนท้องถนนเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยม พวกมุมโค้งอยู่ในมุมที่เหมาะสม ในตอนที่คุณถ่ายทำในย่านดาวน์ทาวน์ของแอลเอ มันเหมือนกับเป็นตัวละครที่มีชีวิต เราจะต้องคอยคำนึงถึงคนที่อาศัยอยู่ในที่ที่เรากำลังถ่ายทำเสมอ ทั้งเสียง แสงและเฮลิคอปเตอร์ที่บินวนเวียนรอบๆ ทั้งหมดช่วยเสริมสร้างความสมจริงให้กับหนังเรื่องนี้ครับ”
การจัดหาเครื่องแต่งกายสำหรับทริลเลอร์
ฮาลา บาห์เม็ท ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายมากประสบการณ์ ถูกนำตัวมาจัดหาเครื่องแต่งกายให้กับทีมนักแสดง เพื่อทำให้แน่ใจว่าเสื้อผ้าของพวกเขาจะตรงกับบุคลิกและสถานการณ์ของพวกเขา ด้วยความที่ลีโอ ตัวละครของกริลโลเป็นคนลึกลับ มันก็เลยไม่ชัดเจนว่าเขาเป็นทหารหรือเป็นผู้รักษากฎหมายรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งรึเปล่า แต่เขาก็มีคลังอาวุธที่เหลือเชื่อและรู้จักวิธีใช้อาวุธเหล่านั้นอย่างช่ำชองด้ว บาห์เม็ททำงานอย่างใกล้ชิดกับกริลโล แม้แต่ก่อนหน้าการถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้นเสียอีก
เธออธิบายถึงกระบวนการของทีมงานเธอว่า “เป้าหมายของเราคือการสร้างภาพซิลูเอทที่เรียบง่ายให้กับเขา เราอยากให้ชุดของเขาเป็นแบ็คกราวน์ที่เป็นกลาง ให้เขาได้เผยตัวตนของเขาออกมาในระหว่างหนังเรื่องนี้ เราก็เลยสร้างภาพซิลูเอทที่เหมือนกับทหารให้กับเขา แต่ส่วนอื่นๆ ของชุดก็จะเป็นอะไรที่เรียบง่าย เช่นเสื้อยืดและกางเกงทำงานน่ะค่ะ” นอกเหนือจากนั้น บาห์เม็ทและทีมงานของเธอก็ได้สร้างชุดเกราะกันกระสุนแบบโลกอนาคตขึ้นมาด้วยไอเดียที่ว่า อีก 12 ปีข้างหน้า จะมีเนื้อผ้ากันกระสุนสุดไฮเทค
ในขณะที่ลีโอเป็นคนลึกลับ ปราดเปรียวและรวดเร็ว อีวา ที่รับบทโดยอีโจโก กลับตรงกันข้าม เธอเป็นคนอ่อนโยนและเปราะบาง ในการถ่ายทอดความรู้สึกนี้ บาห์เม็ทได้ให้เธอสวมฮู้ดไหมพรมสีเทาอ่อน กางเกงยีนส์และเสื้อยืด เธอบอกว่า “ระหว่างหนังเรื่องนี้ อีวาต้องพบเจอกับเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวหลายต่อหลายครั้งที่เกิดขึ้นกับเธอในช่วงค่ำคืนนั้น แต่เธอก็พบกับการเปลี่ยนแปลงของตัวเองด้วยและสุดท้ายแล้ว เธอก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นค่ะ ฉันอยากแสดงให้เห็นถึงเรื่องนั้นด้วการให้เธอสวมชุดที่มีสีสันอ่อนโยนค่ะ”
บาห์เม็ทได้หาเสื้อผ้าให้กับคาลี สาวน้อยแสบซ่าส์ ที่แสดงให้เห็นว่าแม้ว่าคาลีจะอายุน้อย แต่เธอก็มีความเป็นผู้ใหญ่และมั่นใจ ตรงข้ามกับอีวา บาห์เม็ทกล่าวว่า “เราให้คาลีมีลุคที่ได้แรงบันดาลใจจากแนวกรันจ์ เสื้อสักกหลาด และแจ็คเก็ตทหารแบบดัดแปลง ซึ่งช่วยบ่งบอกถึงบุคลิกของเธอที่เป็นคนกล้าพูด กล้าแสดงออกค่ะ”
สำหรับลิซและเชน บาห์เม็ทอธิบายว่า พวกเขาแต่งตัวแบบคนที่ไม่คิดฝันว่าจะติดอยู่นอกบ้านในค่ำคืนของพิธีชำระล้าง “เราให้ลิซสวมชุดเดรสแบบผู้หญิงจ๋า และแจ็คเก็ตที่ออกทอมบอยหน่อยๆ เพราะเรารู้สึกเหมือนว่าตัวละครของเธอน่าจะเป็นพวกทอมบอยเซ็กซีน่ะค่ะ ส่วนเชนก็จะสวมเสื้อเชิ้ตลายตาราง กางเกงยีนส์และเสื้อกั๊ก พวกเขาแต่งตัวเหมือนคนที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะต้องร่อนเร่ข้างนอกในคืนของพิธีชำระล้างค่ะ”
บิ๊ก แด๊ดดี้ ตัวร้ายคนสำคัญในค่ำคืนนี้ แต่งตัวเพื่อฆ่า เดอโมนาโกและบาห์เม็ทได้ร่วมกันเลือกเสื้อผ้าให้กับเขา บาห์เม็ทเล่าว่า “เราให้เขาสวมชุดแบบคุณพ่อยามบ่ายวันเสาร์ตามปกติ ซึ่งทำให้การเป็นหัวหน้ากลุ่มคนถือปืนที่น่ากลัวของเขายิ่งน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นไปอีกเพราะไม่มีใครคิดว่าคนที่สวมกางเกงผ้า และเสื้อเชิ้ตติดกระดุมธรรมดาจะเป็นหัวหน้ากลุ่มมือปืนน่ะค่ะ”
เดอโมนาโกกล่าวสรุปว่า “ผมนึกภาพของบิ๊ก แด๊ดดี้ว่าเป็นคนย่านชานเมืองหน้าตาเป็นพวกอนุรักษ์นิยม ที่กลับกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มนักฆ่า ผมคิดว่ามันน่าสะพรึงกลัวมากๆ ผมรักความคิดนั้นเลยล่ะ”
****
ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยแพลตินัม ดูนส์/บลูมเฮาส์/วาย น็อท The Purge: Anarchy นำแสดงโดยแฟรงค์ กริลโล, คาร์เมน อีโจโก, แซ็ค กิลฟอร์ด, คีล ซานเชซและไมเคิล เค. วิลเลียมส์ คัดเลือกนักแสดงโดยเทอร์รี เทย์เลอร์, ซีเอสเอ ออกแบบเครื่องแต่งกายโดยฮาลา บาห์เม็ท ดนตรีโดยนาธาน ไวท์เฮ้ด ลำดับภาพโดยท็อดด์ อี. มิลเลอร์ และวินซ์ ฟิลิปโปน ออกแบบงานสร้างโดยแบรด ริคเกอร์ และกำกับภาพโดยฌาคส์ โจฟเฟร็ท ทริลเลอร์เรื่องนี้ควบคุมงานสร้างโดยฌอนเน็ทท์ โวลเทอร์โน-บริล และลุค เอเตียง อำนวยการสร้างโดยเจสัน บลูม, พี.จี.เอ., ไมเคิล เบย์, แอนดรูว์ ฟอร์ม, แบรด ฟูลเลอร์, เซบาสเตียน เค. เลอเมอร์ซิเออร์, พี.จี.เอ. เขียนบทและกำกับโดยเจมส์ เดอโมนาโก © 2014 Universal Studios. www.blumhouse.com/film/thepurgeanarchy
ประวัตินักแสดง
แฟรงค์ กริลโล (Frank Grillo) รับบท ตำรวจนายสิบ
หลังจากนี้ เขาจะได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง A Conspiracy on Jekyll Island ประกบมินนี ไดรเวอร์และไดแอนนา อากรอน และทริลเลอร์เรื่อง Big Sky ประกบไครา เซดจ์วิคและเบลลา ธอร์น
ล่าสุด เขาได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Marvel’s Captain America: The Winter Soldier ประกบคริส อีวานส์, สการ์เล็ตต์ โยฮันสันและโรเบิร์ต เรดฟอร์ด เมื่อปีที่แล้ว เขาได้แสดงในภาพยนตร์โดยรูเบน เฟลสเชอร์เรื่อง Gangster Squad ประกบฌอน เพนน์, ไรอัน กอสลิงและจอช โบรลิน, ภาพยนตร์โดยแกรี เฟลเดอร์เรื่อง Homefront ประกบเจมส์ ฟรังโก้, เคท บอสเวิร์ธและเจสัน สเตแธมและภาพยนตร์อินดีเรื่อง Disconnect ประกบเจสัน เบทแมนและอเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ด ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสและโตรอนโต
ผลงานล่าสุดของเขารวมถึง Zero Dark Thirty ที่กำกับโดยแคธริน บิเกโลว์และเขียนบทโดยมาร์ค โบล, ภาพยนตร์โดยเดวิด เอเยอร์เรื่อง End of Watch ประกบเจค จิลเลนฮัล, Lay the Favorite ประกบบรูซ วิลลิสและวินซ์ วอห์น, ภาพยนตร์อินดีเรื่อง Intersection ที่อำนวยการสร้างโดยลุค เบซง, The Grey, Warrior, Edge of Darkness และ Pride and Glory
ด้านจอแก้ว กริลโลได้แสดงในบทเจ้าหน้าที่พอล แจ็คสันในซีรีส์ที่ได้รับหกรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดเรื่อง The Shield ในปี 2002 ในปี 2005 เขาได้รับบททนายความ นิค ซาฟรินในซีรีส์ยอดนิยมของฟ็อกซ์เรื่อง Prison Break และนักสืบมาร์ตี้ รุสโซในซีรีส์เอบีซีเรื่อง Blind Justice ในปี 2007 เขาได้แสดงประกบจอห์น เลอกุยซาโมและดอนนี วอห์ลเบิร์กในมินิซีรีส์ทางสไปค์ ทีวีเรื่อง The Kill Point ซึ่งบันทึกเรื่องราวของกลุ่มทหารเรือเมริกา ที่มาทำงานร่วมกัน หลังจากที่พวกเขากลับจากการรับใช้ชาติที่อิรัก เพื่อปล้นธนาคารธรี ริเวอร์สในพิตส์เบิร์ก, เพนซิลวาเนีย นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในดรามาอาชญากรรมเหนือธรรมชาติทางเอบีซีเรื่อง The Gates ที่ออกอากาศในซัมเมอร์ปี 2010 อีกด้วย ในปี 2013 เขาได้แสดงในภาพยนตร์เอชบีโอ ฟิล์มส์เรื่อง Mary and Martha ซึ่งนำแสดงโดยฮิลลารี สแวงค์และเบรนดา เบลธิน
กริลโลเป็นลูกคนโตในบรรดาพี่น้องสามคน เขาโตขึ้นในนิวยอร์กและสำเร็จการศึกษาสาขาธุรกิจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์กกับภรรยาและลูกชายสามคน
คาร์เมน อีโจโก (Camen Ejogo) รับบท อีวา
ปัจจุบัน กำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์โดยมือเขียนบท/ผู้กำกับ เอวา ดูเวอร์เนย์เรื่อง Selma ในบทคอเร็ตต้า สก็อต คิง สำหรับแพลน บี เอนเตอร์เทนเมนต์ของแบรด พิตต์และผู้อำนวยการสร้างโอปราห์ วินฟรีย์
ล่าสุด เธอได้รับบทนางเอกในซีรีส์เอบีซีเรื่อง Zero Hour ประกบแอนโธนี เอ็ดเวิร์ดส์และในภาพยนตร์โดยไทรสตาร์ พิคเจอร์สเรื่อง Sparkle ประกบจอร์ดิน สปาร์คส์ ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ Alex Cross ประกบไทเลอร์ เพอร์รีและโรแมนติกคอเมดีโดยโฟกัส ฟีเจอร์สเรื่อง Away We Go ประกบจอห์น คราซินสกี้, มายา รูดอล์ฟและแคทเธอรีน โอ’ ฮารา เธอได้ทำงานร่วมกับผู้กำกับที่โด่งดังที่สุดของวงการหลายคน รวมถึงแซม เมนเดส, นีล จอร์แดน, เคนเนธ บรานาห์และกาวิน โอ’ คอนเนอร์
แซ็ค กิลฟอร์ด (Zach Gilford) รับบท เชน
แซ็ค กิลฟอร์ดเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทแมทท์ ซาราเคนในซีรีส์เอ็นบีซียอดนิยมเรื่อง Friday Night Lights หลังจากที่ซีรีส์นี้สิ้นสุดลงด้วยซีซันที่ห้าในปี 2011 เขาก็ได้แสดงในโปรเจ็กต์จอแก้วและจอเงินที่หลากหลาย
ล่าสุด เขาได้นำแสดงในภาพยนตร์ “สยองขวัญแฮนด์เฮลด์” โดยทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์เรื่อง Devil’s Due ในบทสามีของหญิงผู้ตั้งท้องลูกของปีศาจ นอกจากนี้ เขายังได้แสดงประกบอาร์โนลด์ ชวอร์ซเนกเกอร์ในภาพยนตร์ไลออนส์เกทเรื่อง The Last Stand และในดรามาอินดีเรื่อง Our Nature ประกบจอห์น สแลทเทอรี, กาเบรียล ยูเนียนและจีนา มาโบน ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เซาธ์ บาย เซาธ์เวสต์ ปี 2012 ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ดรามาอินดีเรื่อง Crazy Kind of Love ที่นำแสดงโดยเวอร์จิเนีย แมดสันและแซม แทรมเมล, ภาพยนตร์โดยโรดไซด์ แอทแทรคชันส์เรื่อง Answers to Nothing ประกบเดน คุ้ก, อินดีเรื่อง Dare ประกบเอ็มมี รอสซัม, Super ประกบเอลเลน เพจและเรนน์ วิลสัน, ภาพยนตร์โดยฟ็อกซ์ เสิร์ชไลท์เรื่อง Post Grad ประกบอเล็กซิส เบลเดล, ไมเคิล คีย์ตันและแครอล เบอร์เน็ตต์และ Rise: Blood Hunter ประกบลูซี หลิว
เขาเปิดตัวผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกด้วยการนำแสดงในภาพยนตร์โดยแลร์รี เฟสเซนเดนเรื่อง The Last Winter ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล 2007 ก็อทแธม อวอร์ดสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยม ผลงานจอแก้วของเขาได้แก่ซีรีส์เอบีซีเรื่อง Off the Map และ Grey’s Anatomy และซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง Law & Order: Special Victims Unit
เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น ที่เขาได้แสดงในละครเวทีเรื่อง Equus และ The Laramie Project เขาเป็นชาวชิคาโก เขาใช้เวลาในยามว่างเดินทางแบบแบกเป้ ปีนภูเขาน้ำแข็งและผจญภัยดำน้ำในอลาสก้า นิวซีแลนด์และออสเตรเลีย
คีล ซานเชซ (Kiele Sanchez) รับบท ลิซ
คีล ซานเชซ จะแสดงในซีรีส์ Navy Street ประกบแฟรงค์ กริลโลและนิค โจนัส ดรามาเรื่องนี้ ที่จะเปิดตัวในฤดูใบไม้ร่วงปี 2014 ติดตามเรื่องราวของครอบครัวที่อยู่ในธุรกิจศิลปะการต่อสู้ผสม
ผลงานภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของเธอได้แก่ทริลเลอร์จิตวิทยาเรื่อง A Perfect Getaway, Redemption Road, Mr. Magorium’s Wonder Emporium และ Stuck on You
ด้านจอแก้ว ล่าสุด เธอได้แสดงในดรามานักสืบทางเอแอนด์อีเรื่อง The Glades ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเธอ ได้แก่บทประจำในซีรีส์ Lost และ Samantha Who? และบทนำในซีรีส์ดับบลิวบีเรื่อง Related และ Married to the Kellys ทางเอบีซี
เธอเป็นชาวชิคาโก และปัจจุบัน ใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส
ไมเคิล เค. วิลเลียมส์ (Michael K. Williams) รับบท คาร์เมโล
ไมเคิล เค. วิลเลียมส์ เป็นหนึ่งในนักแสดงจอแก้วที่ได้รับการยกย่องและมีชื่อเสียงโด่งดังสูงสุด ด้วยการเนรมิตชีวิตให้กับตัวละครที่ซับซ้อนและมีเสน่ห์ และมักสร้างความประหลาดใจด้วยความอ่อนโยน วิลเลียมส์ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะนักแสดงพรสวรรค์ มากความสามารถที่มีความสามารถโดดเด่นในการร่ายมนต์สะกดผู้ชมด้วยการแสดงที่น่าทึ่งของเขา
วิลเลียมส์เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากผลงานน่าทึ่งของเขาใน The Wire ที่แพร่ภาพห้าซีซันทางเอชบีโอ อารมณ์ขันและไหวพริบที่เขาใส่ลงไปในบทโอมาร์ อันธพาลค้ายาผู้หลีกเลี่ยงการใช้คำหยาบ ทำให้เขาได้รับเสียงชื่นชมอย่างสูง และทำให้โอมาร์กลายเป็นหนึ่งในตัวละครที่น่าจดจำที่สุดในแวดวงจอแก้วผลงานของเขาทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ดปี 2009 ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามา
วิลเลียมส์ได้ร่วมแสดงในซีรีส์ดังทางเอชบีโอเรื่อง Boardwalk Empire ซึ่งเปิดตัวในปี 2010 ในซีรีส์ที่อำนวยการสร้างโดยมาร์ติน สกอร์เซซีเรื่องนี้ วิลเลียมส์รับบท ชอล์คกี้ ไวท์ นักค้าเหล้าเถื่อนยุค 20s และนายกเทศมนตรีของชุมชนแอฟริกัน/อเมริกันแห่งแอตแลนติก ซิตี้ ในปี 2012 ซีรีส์นี้ได้รับรางวัลแซ็ก อวอร์ดสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามา ในปี 2014 วิลเลียมส์ได้รับการเสนอชื่อชิงอีกหนึ่งรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามาสำหรับ Boardwalk Empire
วิลเลียมส์แสดงให้เห็นถึงความสามารถหลากหลายของเขาด้วยการรับบทดารารับเชิญในสามเอพิโซดของซีรีส์คอเมดีทางเอ็นบีซีเรื่อง Community ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ Law & Order, CSI: Crime scene Investigation, The Philanthropist, Boston Legal, The Sopranos และ Alias โดยเจ.เจ. อับรามส์
หลังจากถูกค้นพบโดยทูปัค ชาคูร์ ผู้ล่วงลับไปแล้ว วิลเลียมส์ก็เปิดตัวในแวดวงภาพยนตร์ด้วยดรามาสังคมเมืองเรื่อง Bullet นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์โดยสกอร์เซซีเรื่อง Bringing Out the Dead, The Road, Gone Baby Gone, Life During Wartime, I Think I Love My Wife, Wonderful World และ Snitch ประกบดเวย์น จอห์นสันและซูซาน ซาแรนดอนอีกด้วย เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้ร่วมแสดงในรีเมก Robocop โดยโฮเซ พาดิลยา ซึ่งนำแสดงโดยโจเอล คินนาแมน, แกรี โอลด์แมนและไมเคิล คีย์ตัน นอกเหนือจากนั้น เขายังได้รับบทสมทบในภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยสตีฟ แม็คควีนเรื่อง 12 Years a Slave ที่เขาแสดงประกบไมเคิล ฟาสเบนเดอร์และแบรด พิตต์อีกด้วย
ล่าสุด เขาเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Captive ประกบเคท มารและเดวิด โอเยโลโลโอ, Kill the Messenger ประกบเจเรมี เรนเนอร์ และภาพยนตร์โดยพอล โธมัส แอนเดอร์สันเรื่อง Inherent Vice หลังจากนี้ เขาจะแสดงประกบมาร์ค วอห์ลเบิร์กในรีเมกโดยพาราเมาท์ พิคเจอร์สเรื่อง The Gambler
การตอบแทนสังคมเป็นสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตนอกจอของวิลเลียมส์ เขาได้ก่อตั้งองค์กรการกุศลเมคกิ้ง คิดส์ วิน ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างศูนย์ชุมชนขึ้นในย่านใจกลางเมืองที่ต้องการพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กๆ ได้เล่นและเรียนรู้
วิลเลียมส์เกิดและเติบโตในบรู๊คลิน, นิวยอร์ก เขาเริ่มต้นทำงานเป็นแดนเซอร์อาชีพตอนอายุได้ 22 ปี หลังจากได้แสดงในมิวสิค วิดีโอหลายเพลงและได้เป็นแดนเซอร์แบ็คกราวน์ในทัวร์คอนเสิร์ตของมาดอนนาและจอร์จ ไมเคิล เขาก็ตัดสินใจยึดอาชีพนักแสดงอย่างจริงจัง เขาได้ร่วมแสดงละครหลายเรื่องที่ลา มามา เอ็กซ์เพอริเมนทัล เธียเตอร์ คลับ, เนชันแนล แบล็ค เธียเตอร์ ที่โด่งดังและเธียเตอร์ ฟอร์ อะ นิว เจนเนเรชัน ภายใต้การกำกับของเมล วิลเลียมส์
ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในบรู๊คลิน
โซอี้ โซล (Zoë Soul) รับบท คาลี
เมื่อเร็วๆ นี้ โซอี้ โซลเพิ่งได้รับบทประจำของซีรีส์เอบีซีเรื่อง Sea of Fire ประกบเจนนิเฟอร์ คาร์เพนเตอร์และแจ็ค ดาเวนพอร์ต ล่าสุด เธอได้แสดงภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่นในบทเอไลซา เบิร์ช ในภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์ส/อัลคอน เอนเตอร์เทนเมนต์เรื่อง Prisoners ที่นำแสดงโดยฮิวจ์ แจ็คแมน, เจค จิลเลนฮัล, พล ดาโน, วิโอลา เดวิส, เทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ดและเมลิสซา ลีโอ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างมากและติดอันดับหนึ่งของบ็อกซ์ออฟฟิศในสุดสัปดาห์แรกที่เปิดตัว
เธอได้รับบทคาซี เรย์โนลด์ส ซึ่งเป็นบทประจำในซีรีส์โดยบีอีที Reed Between the Lines ประกบเทรซีย์ เอลลิส รอส และมัลคอล์ม-จามัล วอร์เนอร์ ตลอดสามปี นอกจากนี้ เธอยังได้ร่วมแสดงในซีรีส์ All of Us และ What I Like About You อีกด้วย
ปัจจุบัน เธอกำลังเข้าสตูดิโอเพื่อแต่งเพลงของตัวเองร่วมกับโปรดิวเซอร์ชั้นนำของโลกอย่างเจ ไบนัม ผู้ร่วมงานกับเธอในฐานะ โซอี้ แอนด์ เดอะ แบร์ ก่อนหน้านี้ เธอได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ดนตรีชื่อดังอย่างจัสติน เกรย์ ผู้แต่งเพลงไตเติล แทร็คสำหรับมารายห์ แครีย์ในภาพยนตร์วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์สเรื่อง Oz the Great and Powerful
ประวัติทีมผู้สร้าง
เจมส์ เดอโมนาโก (James DeMonaco –เขียนบทและกำกับโดย)
เจมส์ เดอโมนาโก เริ่มเขียนบทภาพยนตร์และกำกับภาพยนตร์ขนาดสั้นตั้งแต่อายุ 11 ขวบ หลังจากทำงานระยะเวลาสั้นๆ ที่โรงเรียนภาพยนตร์ของเอ็นวายยู เดอโมนาโกก็ได้เขียนบทภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึง The Negotiator ที่นำแสดงโดยเควิน สเปซีย์และซามวล แอล. แจ็คสัน และรีเมกเรื่อง Assault on Precinct 13 ซึ่งนำแสดงโดยอีธาน ฮอว์คและลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น เขาได้เขียนบทและอำนวยการสร้างมินิซีรีส์หลายเรื่องซึ่งรวมถึงทริลเลอร์เก้าชั่วโมงที่โด่งดังของสไปค์ ทีวีเรื่อง The Kill Point ซึ่งนำแสดงโดยจอห์น เลอกุยซาโม
ในปี 2009 เขาได้เปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกด้วย Staten Island ภาพยนตร์อินดีที่เขาเขียนบท และอำนวยการสร้างโดยลุค เบซงและเซบาสเตียน เค. เลอเมอร์ซิเออร์ และนำแสดงโดยฮอว์ค, วินเซนต์ ดิโอโนฟริโอและเซย์มัวร์ คาสเซล The Purge ผลงานการกำกับเรื่องที่สองของเขา ประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศอย่างมาก และทำให้เดอโมนาโกได้กลับมาร่วมงานกับทั้งเลอเมอร์ซิเออร์และฮอว์คอีกครั้ง
ในเวลาว่าง เดอโมนาโกเป็นแฟนตัวยงของทีมนิวยอร์ก แยงกี้ส์
เจสัน บลูม, พี.จี.เอ. (Jason Blum, p.g.a.—อำนวยการสร้างโดย)
เจสัน บลูม, พี.จี.เอ. เป็นผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบลูมเฮาส์ โปรดักชันส์ บริษัทโปรดักชันมัลติมีเดีย ที่เป็นผู้บุกเบิกโมเดลใหม่ของสตูดิโอถ่ายทำด้วยการผลิตภาพยนตร์ทุนสร้างต่ำคุณภาพสูง ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลก
นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการในปี 2000 บลูมเฮาส์ก็ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์กว่า 30 เรื่อง ซึ่งรวมถึงแฟรนไชส์ Paranormal Activity ที่ทำรายได้สูง, Insidious, The Purge และ Sinister ผลงานล่าสุดแปดเรื่องของบลูมเฮาส์ทำรายได้รวมกันไปกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก ด้วยทุนสร้างน้อยกว่า 5 ล้านเหรียญ
The Purge โดยบลูมเฮาส์ ผลงานการสร้างเรื่องแรกภายใต้สัญญาเสนองานก่อนกับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ทำรายได้ไปกว่า 34 ล้านเหรียญในอเมริกาในสุดสัปดาห์แรกที่เปิดตัว ด้วยทุนสร้างเพียง 3 ล้านเหรียญ Insidious: Chapter 2 ที่บลูมเฮาส์สร้างให้กับฟิล์มดิสทริค ทำรายได้ไปกว่า 40 ล้านเหรียญทั่วประเทศในสุดสัปดาห์แรกที่เปิดตัว ด้วยทุนสร้างเพียงแค่ 5 ล้านเหรียญเท่านั้น
โมเดลของบลูมเฮาส์เริ่มต้นด้วย Paranormal Activity ภาคแรก ที่สร้างขึ้นด้วยทุนสร้าง 15,000 เหรียญและจัดจำหน่ายโดยพาราเมาท์ พิคเจอร์ส ทำรายได้ไปเกือบ 200 ล้านเหรียญทั่วโลก ซึ่งทำให้มันเป็นภาพยนตร์ที่ทำกำไรได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ฮอลลีวูด นอกจากนี้ บลูมเฮาส์ยังได้อำนวยการสร้างซีเควลที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่อย่าง Paranormal Activity 2, Paranormal Activity 3 และ Paranormal Activity 4 อีกด้วย
ผลงานทุนสร้างต่ำเรื่องถัดไปของบลูมเฮาส์ที่จะเข้าฉายทั่วประเทศรวมถึง Jessabelle สำหรับไลออนส์เกท, The Purge: Anarchy และ Ouija สำหรับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สและ Paranormal Activity 5 สำหรับพาราเมาท์ พิคเจอร์ส
สำหรับฮัลโลวีนปี 2012 บลูมเฮาส์ได้สร้าง The Blumhouse of Horrors ประสบการณ์บ้านผีสิงที่แปลกใหม่และน่าสะพรึงกลัวใจกลางย่านดาวน์ทาวน์ของลอสแองเจลิส ทีมถ่ายทำภาพยนตร์ในลอสแองเจลิสของบลูมเฮาส์ได้ใช้ความชำนาญในการถ่ายทำภาพยนตร์สยองขวัญ การเล่าเรื่องราวและการออกแบบฉากภาพยนตร์ของพวกเขาในการเปลี่ยนวาไรตี้ อาร์ตส์ เธียเตอร์ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าขนลุกในช่วงฮัลโลวีน ในปี 2013 บลูมเฮาส์ก็ได้เชื้อเชิญแฟนๆ ที่ชื่นชอบความสยองขวัญให้ได้สัมผัสกับ The Purge: Fear the Night ไลฟ์อีเวนต์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเบื้องหลังของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว
ด้านจอแก้ว บลูมเฮาส์ได้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ The River ให้กับเอบีซีและซีรีส์ไร้บทเรื่อง Stranded สำหรับไซไฟ ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการทำงานขั้นตอนโพสต์โปรดักชันของ The Normal Heart ที่กำกับโดยไรอัน เมอร์ฟีย์ สำหรับเอชบีโอ ผลงานของพวกเขาเรื่อง Eye Candy ซึ่งนำแสดงโดยวิคตอเรีย จัสติส เพิ่งได้รับไฟเขียวจากเอ็มทีวีให้ถ่ายทำต่ออีก 10 เอพิโซด Ascension โดยบลูมเฮาส์ก็ได้รับไฟเชียวให้ถูกสร้างเป็นซีรีส์หกชั่วโมงทางไซไฟ
ก่อนหน้านี้ บลูมเฮาส์มีสัญญาทำงานกับไลออนส์เกท, พาราเมาท์ พิคเจอร์ส, อัลลายแอนซ์ ฟิล์มส์, มิราแมกซ์ ฟิล์มส์ และเอชบีโอ ฟิล์มส์ ระหว่างปี 1995-2000 เขาทำหน้าที่หัวหน้าร่วมฝ่ายจัดซื้อและโปรดักชันที่มิราแมกซ์ในนิวยอร์ก ที่มิราแมกซ์ เขามีบทบาทสำคัญในการซื้อภาพยนตร์กว่า 50 เรื่อง ซึ่งรวมถึง The Others, Smoke Signals, A Walk on the Moon และ The House of Yes
ผลงานของบลูมรวมถึง Tooth Fairy ที่นำแสดงโดยดเวย์น จอห์นสัน, The Reader ซึ่งทำให้เคท วินสเล็ตได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด, ซีรีส์เอชบีโอเรื่อง Hysterical Blindness ซึ่งทำให้อูมา เธอร์แมนได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและ Hamlet ที่นำแสดงโดยฮอว์ค, บิล เมอร์เรย์, แซม เชพเพิร์ดและไคล์ แม็คแล็คแลน
เขาเริ่มต้นจากการทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างของมาลาพาร์ท เธียเตอร์ คัมปะนี ซึ่งก่อตั้งโดยฮอว์ค ปัจจุบัน เขาเป็นหนึ่งในบอร์ดผู้อำนวยการของคณะนิว กรุ๊ป เธียเตอร์ในนิวยอร์ก ซิตี้
ไมเคิล เบย์ (Michael Bay—อำนวยการสร้างโดย)
ไมเคิล เบย์เป็นหนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของฮอลลีวูด โดยปัจจุบัน เขาติดอันดับผู้กำกับที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นอับดับที่สี่ ด้วยสไตล์วิชวลที่ดุดันและซีเควนซ์แอ็กชันไฮอ็อกเทนที่กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเขา ภาพยนตร์ที่เบย์กำกับและอำนวยการสร้าง ผ่านทางบริษัทโปรดักชันสองแห่งของเขา ทำรายได้รวมกันกว่า 5.5 พันล้านเหรียญทั่วโลก
ผลงานการกำกับของเบย์ได้แก่ Bad Boys และ Bad Boys II ซึ่งทั้งสองเรื่องนำแสดงโดยวิล สมิธและมาร์ติน ลอว์เรนซ์, The Rock ซึ่งนำแสดงโดยนิโคลัส เคจและฌอน คอนเนอรี, Armageddon ที่นำแสดงโดยเบน แอฟเฟล็คและบรูซ วิลลิส, Pearl Harbor ซึ่งนำแสดงโดยแอฟเฟล็ค, จอช ฮาร์ทเน็ทท์และเคท เบคคินเซล, The Island ที่นำแสดงโดยยวน แม็คเกรเกอร์และสการ์เล็ตต์ โยฮันสันและแฟรนไชส์ Transformers: Transformers, Transformers: Revenge of the Fallen และ Transformers: Dark of the Moon ซึ่งนำแสดงโดยไชอา ลาบัฟ, จอช ดูฮาเมล,ไทริส กิ๊บสันและจอห์น เทอร์ทูโร แฟรนไชส์นี้ทำรายได้ไปกว่า 2.6 พันล้านเหรียญ
ในวันที่ 27 มิถุนายน พาราเมาท์ พิคเจอร์สจะปล่อยภาคที่สี่ของแฟรนไชส์นี้ Transformers: Age of Extinction ที่นำแสดงโดยมาร์ค วอห์ลเบิร์ก, สแตนลีย์ ตุชชี, เคลซีย์ แกรมเมอร์และนักแสดงหน้าใหม่ นิโคลา เพลท์และแจ็ค เรย์เนอร์
ล่าสุด เขาได้กำกับคอเมดีตลกร้ายเรื่อง Pain & Gain ที่สร้างจากเรื่องจริง และนำแสดงโดยมาร์ค วอห์ลเบิร์กและดเวย์น จอห์นสัน ในบทนักเพาะกายทึ่มทื่อในไมอามี ปลายยุค 90s ผู้รวมกลุ่มกันเป็นแก๊งเพื่อทำการลักพาตัว ขูดรีด และสังหารเพื่อไปให้ถึงอเมริกัน ดรีม
นอกเหนือจากภาพยนตร์แล้ว เขายังมีงานจอแก้วอีกสองเรื่องที่กำลังอยู่ในระหว่างการถ่ายทำด้วย ได้แก่แอ็กชันผจญภัยโจรสลัดโดยสตาร์ซเรื่อง Black Sails ที่นำแสดงโดยโทบี้ สตีเฟนส์, ฮันนาห์ นิว, แซ็ค แม็คโกแวนและลุค อาร์โนลด์ และปัจจุบันกำลังถ่ายทำในเคป ทาวน์ ประเทศเซาธ์ แอฟริกาใต้ และ The Last Ship โดยทีเอ็นที ที่นำแสดงโดยอีริค เดน, โรนา มิตรา และอดัม บัลด์วิน และมีกำหนดจะแพร่ภาพตอนแรกในวันที่ 22 มิถุนายน
เขาเป็นหุ้นส่วนหลักของแพลตินัม ดูนส์ ซึ่งเขาได้ก่อตั้งในปี 2001 ร่วมกับแบรด ฟูลเลอร์และแอนดรูว์ ฟอร์ม เดิมที บริษัทแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้กำกับโฆษณาและมิวสิค วิดีโอมีโอกาสแจ้งเกิดในโลกภาพยนตร์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มันก็ขยายตัวและมีผู้กำกับมือเก๋ามาร่วมงานด้วยมากมาย ผลงานหลังจากนี้ของบริษัทแห่งนี้คือ Teenage Mutant Ninja Turtles ที่นำแสดงโดยเมแกน ฟ็อกซ์, วิล อาร์เน็ตต์และวิลเลียม ฟิชเนอร์ สำหรับพาราเมาท์ พิคเจอร์ส และทริลเลอร์ Ouija ที่จะจัดจำหน่ายโดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สในเดือนตุลาคม
เบย์สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเวสเลยันและอาร์ต เซ็นเตอร์ คอลเลจ เขาได้รับรางวัลใหญ่ๆ แทบทุกรางวัลในแวดวงโฆษณา ซึ่งรวมถึงรางวัลสิงโตทองคำจากเทศกาลนานาชาติคานส์ ไลออนส์, แกรนด์ คลิโอและรางวัลกำกับยอดเยี่ยมในแวดวงโฆษณาจากสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกาอีกด้วย แคมเปญ “ดื่มนมมั้ย” กลายเป็นหนึ่งในคอลเล็กชันถาวรในพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ของนิวยอร์ก
เบย์เป็นชาวลอสแองเจลิส ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในไมอามี
แอนดรูว์ ฟอร์ม และแบรด ฟูลเลอร์ (Andrew Form และ Brad Fuller—อำนวยการสร้าง)
แอนดรูว์ ฟอร์มและแบรด ฟูลเลอร์ ได้ก่อตั้งบริษัทแพลตินัม ดูนส์ บริษัทโปรดักชันของพวกเขา กับไมเคิล เบย์ในปี 2001 โดยมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสให้ผู้กำกับหน้าใหม่ได้สร้างภาพยนตร์พาณิชย์ไฮคอนเซ็ปต์ทุนสร้างปานกลางสำหรับผู้ชมทั่วโลก นับตั้งแต่นั้นมา บริษัทก็ได้นำภาพยนตร์เข้าฉายเก้าเรื่อง ซึ่งแปดเรื่องทำรายได้ถอนทุนคืนตั้งแต่สุดสัปดาห์แรกที่เปิดตัวและอีกสี่เรื่องถอนทุนคืนได้ตั้งแต่คืนแรกที่เปิดตัว
เมื่อปีที่แล้ว แพลตินัม ดูนส์ได้อำนวยการสร้าง The Purge สำหรับยูนิเวอร์แซล ด้วยทุนสร้าง 3 ล้านเหรียญ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ไป 34.1 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์แรกที่เปิดตัว
ในเดือนตุลาคม ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สจะนำเสนอภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดยแพลตินัม ดูนส์เรื่อง Ouija ภาพยนตร์สยองขวัญที่สร้างจากเกมกระดานยอดนิยม
พาราเมาท์ พิคเจอร์สจะนำเสนอภาพยนตร์สองเรื่องสำหรับแพลตินัม ดูนส์ เรื่องแรก ซึ่งเป็นรีเมกไลฟ์แอ็กชันของซีรีส์หนังสือการ์ตูนยอดนิยม “Teenage Mutant Ninja Turtles” มีกำหนดจะเข้าฉายในวันที่ 8 สิงหาคมนี้ และเรื่องที่สอง Project Almanac จะเข้าฉายในวันที่ 30 มกราคม ปี 2015
เมื่อสองปีที่แล้ว แพลตินัม ดูนส์ตัดสินใจนำความชำนาญด้านงานสร้างภาพยนตร์สู่จอแก้ว โปรเจ็กต์แรกของพวกเขา Black Sails เปิดตัวเมื่อวันที้ 25 มกราคมทางสตาร์ซ และปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีซันที่อง ส่วนโปรเจ็กต์ที่สองของพวกเขา The Last Ship จะเปิดตัวทางทีเอ็นทีในวันที่ 22 มิถุนายน
เซบาสเตียน เค. เลอเมอร์ซิเออร์ (Sebastien K. Lemercier—อำนวยการสร้างโดย)
เซบาสเตียน เค. เลอเมอร์ซิเออร์ ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ทั้งภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษตลอดช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ร่วมกับวาย น็อท โปรดักชันส์ เขาเริ่มทำงานกับเจมส์ เดอโมนาโกในปี 2002 ด้วยการพัฒนาและควบคุมงานสร้างรีเมกภาพยนตร์ของจอห์น คาร์เพนเตอร์เรื่อง Assault on Precinct 13 ที่กำกับโดยฌอน-ฟรังซัวส์ ริเช็ท
ก่อนหน้า The Purge เขาได้อำนวยการสร้าง Staten Island ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเดอโมนาโก ที่นำแสดงโดยอีธาน ฮอว์ค, วินเซนต์ ดิโอโนฟริโอและเซย์มัวร์ คาสเซล นอกจากนั้น เขายังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยเกร็กก์ อารากิเรื่อง Kaboom and White Bird in a Blizzard ซึ่งนำแสดงโดยเชลีน วู้ดลีย์และอีวา กรีนอีกด้วย
ฌอนเน็ทท์ โวลเทอร์โน-บริล (Jeanette Volturno-Brill—ผู้ควบคุมงานสร้าง)
ฌอนเน็ทท์ โวลเทอร์โน-บริล มีประสบการณ์การทำงานนแวดวงจอแก้ว จอเงินและมิวสิค วิดีโอมากว่า 20 ปี เธอได้ก่อตั้งบริษัทของตัวเอง แคทช์ไลท์ ฟิล์มส์ขึ้นในปี 1999 และทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีเรื่อง In the Weeds และ Amy’s Orgasm เธอได้อำนวยการสร้างสารคดี World Festival of Sacred Music: The Americas ซึ่งได้แรงบันดาลใจและมีผู้ดำเนินรายการคือองค์ดาไลลามะ
ในปี 2012 เธอได้ทำงานกับบลูมเฮาส์ โปรดักชันส์ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายโปรดักชัน นับตั้งแต่รับตำแหน่งนั้น เธอก็ได้ร่วมอำนวยกาสร้างภาพยนตร์โดยไดเมนชัน ฟิล์มส์เรื่อง Dark Skies, ภาพยนตร์โดยฟิล์มดิสทริคท์เรื่อง Insidious: Chapter 2 และภาพยนตร์โดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเรื่อง The Purge ก่อนหน้าที่จะทำงานที่บลูมเฮาส์ โปรดักชันส์เต็มตัว เธอได้ช่วยงานเจสัน บลูม ผู้อำนวยการสร้าง The Purge ในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Paranormal Activity และ Paranormal Activity 2 และร่วมอำนวยการสร้าง Paranormal Activity 3 นอกจากนี้ เธอยังได้ช่วยดูแลงานสร้างให้กับภาพยนตร์โดยเจมส์ วันเรื่อง Insidious และทริลเลอร์สิ่งแวดล้อมโดยแบร์รี เลวินสันเรื่อง The Bay
ปัจจุบัน เธอใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส
ลุค เอเตียง (Luc Etienne–ผู้ควบคุมงานสร้าง)
ลุค เอเตียง ทำงานในแวดวงภาพยนตร์นับตั้งแต่ปี 1988 โดยเขาเริ่มต้นจาการทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้กำกับที่สามในภาพยนตร์โดยโคลัมเบีย พิคเจอร์สเรื่อง To Kill a Priest นับตั้งแต่นั้นมา เอเตียงก็ได้ทำงานในภาพยนตร์อเมริกันและฝรั่งเศสกว่า 35 เรื่อง โดยเขาได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้กำกับที่หนึ่งในภาพยนตร์โดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเรื่อง The Bourne Identity และ The Bourne Supremacy, ภาพยนตร์โดยพาราเมาท์ พิคเจอร์สเรื่อง Thor, ภาพยนตร์โดยทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์เรื่อง X-Men: First Class และภาพยนตร์โดยโคลัมเบีย พิคเจอร์สเรื่อง Total Recall
ในช่วงเวลากว่ายี่สิบปีที่อยู่ในวงการ เอเตียงได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังมากมาย ซึ่งรวมถึงพอล กรีนกราส, แฟรงค์ มาร์แชล, เคนเนธ บรานาห์, ดั๊ก ลีแมน, เลน ไวส์แมน, แมทธิว วอห์นและกาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส์
ล่าสุด เอเตียงได้ทำหน้าที่ผู้จัดการงานสร้างฝ่ายอเมริกาในภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง Godzilla
ฌาคส์ โจฟเฟร็ท (Jacques Jouffret—ผู้กำกับภาพ)
ฌาคส์ โจฟเฟร็ท ทำงานในแวดวงจอแก้วและจอเงินมากว่า 15 ปีแล้ว ผลงานของเขารวมถึง Daredevil, Man on Fire, Hostage, Transformers: Revenge of the Fallen, A Nightmare on Elm Street, Transformers: Dark of the Moon, Pain & Gain และ ฯลฯ
The Purge เป็นผลงานที่ทำให้เขาได้ร่วมงานกับไมเคิล เบย์, แบรด ฟูลเลอร์และแอนดรูว์ ฟอร์มจากแพลตินัม ดูนส์อีกครั้ง
แบรด ริคเกอร์ (Brad Ricker–ผู้ออกแบบงานสร้าง)
แบรด ริคเกอร์ เริ่มต้นทำงานนิวยอร์ก ด้วยการออกแบบให้กับภาพยนตร์อินดีฟอร์มเล็กและโฆษณา เขามีแบ็คกราวน์ด้านศิลปกรรม สถาปัตยกรรม การถ่ายภาพและภาพยนตร์ขนาดสั้น หลังจากย้ายไปลอสแองเจลิส เขาได้ทำงานเป็นผู้ออกแบบฉากและผู้กำกับศิลป์ผู้ควบคุมสำหรับภาพยนตร์ที่ซับซ้อนและรายละเอียดสูงมากมาย ซึ่งรวมถึง Charlie Wilson’s War, Inception, Moneyball และ The Lone Ranger
ริคเกอร์ ได้ร่วมงานกับผู้ออกแบบงานสร้าง เจส กอนชอร์ มาหลายครั้ง และเขาก็ได้ร่วมงานกับกอนชอร์อีกครั้งเมื่อปีที่แล้วในภาพยนตร์โดยเบนเน็ตต์ มิลเลอร์เรื่อง Foxcatcher เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งรับหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้างในภาพยนตร์เรื่องใหม่โดยอาฟอนโซ โปยาร์ทเรื่อง Solace ที่นำแสดงโดยแอนโธนี ฮ็อปกินส์และโคลิน ฟาร์เรล ภาพยนตร์เรื่อง The Purge: Anarchy เป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาได้ร่วมงานกับเจมส์ เดอโมนาโกและบลูมเฮาส์ โปรดักชันส์
ท็อดด์ อี. มิลเลอร์ (Todd E. Miller–ลำดับภาพโดย)
ท็อดด์ อี. มิลเลอร์เริ่มต้นด้วยการทำงานกับไมเคิล เบย์และเจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์ และเขาก็ได้รับเครดิตการลำดับภาพเป็นครั้งแรกใน Armageddon และเขาก็ได้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์นับตั้งแต่นั้นมา มิลเลอร์ได้ร่วมงานกับไซมอน เวสต์ในภาพยนตร์สี่เรื่อง ซึ่งล่าสุดคือ The Expendables 2 และ The Mechanic นอกเหนือจาก Armageddon มิลเลอร์ได้ร่วมงานกับผู้กำกับเบย์หลายครั้ง ซึ่งรวมถึง Transformers, The Island และ The Rock
มิลเลอร์ได้ก้าวไปสู่แนวแอ็กชันในหลายโอกาสด้วยทริลเลอร์อย่าง Joy Ride และ Exorcist: The Beginning, โรแมนติกคอเมดีอย่าง Beastly และ Under the Tuscan Sun และซีซันหนึ่งของซีรีส์ E-Ring ที่ได้ร่วมงานกับบรั๊คไฮเมอร์ ระหว่างงานภาพยนตร์ มิลเลอร์ยังได้ลำดับภาพให้กับโฆษณาหลากหลายแนวสำหรับลูกค้าชื่อดัง ซึ่งก่อนหน้านี้ ผ่านทางบริษัทมาเธอร์ชิพ และปัจจุบัน ก็ผ่านทางบริษัทบีสต์
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเล่าเรื่อง มิลเลอร์เล่าว่า “บางครั้ง มันก็เป็นพังค์ร็อค ที่จังหวะกระชับฉับไว บางครั้ง ก็เป็นอะไรที่ทอดยาว เชื่องช้า แต่สิ่งสำคัญคือการสร้างจังหวะเพื่อนำผู้ชมร่วมเดินทางไปกับเรื่องราวครับ”
วินซ์ ฟิลิปโปน (Vince Filippone—ลำดับภาพโดย)
วินซ์ ฟิลิปโปน เกิดและเติบโตในฮูสตัน รัฐเท็กซัส และสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนศิลปะภาพยนตร์แห่งมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย เขาได้ทำงานขั้นตอนโพสต์โปรดักชันนับตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับดี.เจ. คารูโซและมือลำดับภาพ จิม เพจ ด้วยกาทำหน้าที่เป็นมือลำดับภาพร่วมในภาพยนตร์เรื่อง I Am Number Four, มือลำดับภาพเสริมใน Eagle Eye และผู้ช่วยลำดับภาพใน Disturbia เขาได้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์ขนาดสั้นที่ได้รับรางวัลของเกลนน์ ไคเซอร์ ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาให้เป็นภาพยนตร์ ฟิลิปโปนได้ทำงานในตำแหน่งมือลำดับภาพเสริมในภาพยนตร์เรื่อง Life as We Know It และ The Take และทำหน้าที่ผู้ช่วยลำดับภาพที่หนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Hansel & Gretel: Witch Hunters, Transformers: Revenge of the Fallen, Friends With Money, Kiss Kiss Bang Bang, Dodgeball: A True Underdog Story, The Salton Sea และ American Beauty
ฮาลา บาห์เม็ท (Hala Bahmet—ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย)
ฮาลา บาห์เม็ท เริ่มต้นอาชีพนักออกแบบขอบงเธอระหว่างยังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเซนต์แคทเธอรีน ด้วยการทำงานที่กัธรีย์ เธียเตอร์ และเพสลีย์ ปาร์ค สตูดิโอส์ของปรินซ์ ในมินนิอาโพลิส หลังจากสำเร็จการศึกษาด้านศิลปะและสิ่งทอ โดยให้ความสนใจด้านประวัติศาสตร์ศิลปะและประวัติศาสตร์เครื่องแต่งกายเป็นพิเศษ เธอก็เริ่มออกแบบให้กับโฆษณา มิวสิค วิดีโอ ละครเวทีและภาพยนตร์
บาห์เม็ทได้ทำงานกับศิลปินหลากหลายแนว รวมถึงแม็ค เดอมาร์โก, จอห์นนี แคช, ไมเคิล แจ็คสัน, เคลลี คลาร์กสัน, บริทนีย์ สเปียร์ส, เดอะ ดิกซี ชิคส์, เฮนรี โรลลิงส์และดีโว ในฐานะผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายโฆษณาและสไตลิส์ เธอได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังมากมาย รวมถึงดั๊ก ลีแมน, ทิม เบอร์ตัน, ลุค เบซง, วอลลี ฟิสเตอร์, ทาร์เซม ซิงห์, ปีเตอร์ เบิร์ก, จานัสซ์ คามินสกี้, แลร์รี ชาร์ลส์, เจสซี เปเรซ, วาดิม เพเรลแมน, แมทธิว คัลเลน, คาร์ล รินช์และโจ พิทก้า
ก่อนหน้าการทำงานใน The Purge: Anarchy บาห์เม็ทได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์และละครเวทีหลายเรื่อง รวมถึงทริลเลอร์ยุค 1880s โดยโลแกน มิลเลอร์เรื่อง Sweetwater ซึ่งนำแสดงโดยเอ็ด แฮร์ริส, เจสัน ไอแซ็คส์และแจนยัวรี โจนส์และผลงานเรื่องใหม่ของคามินสกี้เรื่อง American Dream ผลงานภาพยนตร์ที่น่าสนใจเรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ภาพยนตร์โดยฟามเก้ เจนเซนเรื่อง Bringing Up Bobby ซึ่งนำแสดงโดยมิลลา โยโววิช, ภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยเพเรลแมนเรื่อง House of Sand and Fog ซึ่งนำแสดงโดยเบน คิงส์ลีย์และเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี สำหรับดรีมเวิร์คส์ และ The Life Before Her Eyes ซึ่งนำแสดงโดยอูมา เธอร์แมนและอีวาน ราเชล วู้ด และภาพยนตร์โดยเจน แอนเดอร์สันเรื่อง The Prize Winner of Defiance, Ohio ซึ่งนำแสดงโดยจูลีแอนน์ มัวร์, วู้ดดี้ ฮาร์เรลสันและลอรา เดิร์น สำหรับดรีมเวิร์คส์
เดรสพีเรียดที่บาห์เม็ดออกแบบให้กับมัวร์ใน The Prize Winner of Defiance, Ohio ถูกจัดแสดงที่อาร์คไลท์ ซีเนมาส์ในฮอลลีวูด และงานนิทรรศการเครื่องแต่งกายหลายแห่ง
นอกเหนือจากงานออกแบบเครื่องแต่งกายแล้ว เธอยังเป็นผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายครีเอทีฟของแบรนด์อีโคแฟชัน เวอร์ริดิส ลุกซ์ ที่สร้างสรรค์เนื้อผ้าและแบบดีไซน์โดดเด่น ด้วยเส้นใยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีวิธีการผลิตที่ยุติธรรมต่อแรงงาน ผลงานของเธอกับแบรนด์ได้รับการนำเสนอในแฟชันโชว์หลายแห่งในลอนดอน นิวยอร์กและลอสแองเจลิส จำหน่ายใน 200 ร้านค้าทั่วโลก และได้ลงในนิตยสารและหนังสือพิมพ์กว่า 50 ฉบับ รวมถึงโว้ค, แอล, อินสไตล์, มารีแคลร์, เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัลและเดอะ การ์เดียน แบบดีไซน์ที่ยั่งยืนของเธอได้ปรากฏในหนังสือดีไซน์ แฟชันและศิลปะที่โด่งดังหลายเล่ม
ปัจจุบัน เธอใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส และมีคนดังคอยติดตามผลงานของเธอทั้งสองฟากฝั่งของอเมริกา ผลงานของเธอปรากฏอยู่ในทั้งจอแก้ว จอเงิน โฆษณา โฆษณาในสิ่งพิมพ์และบนพรมแดง
นาธาน ไวท์เฮ้ด (Nathan Whitehead—ดนตรีโดย)
นาธาน ไวท์เฮ้ด ได้แต่งดนตรีให้กับภาพยนตร์ โทรทัศน์และวิดีโอเกม เขาได้ร่วมงานกับผู้ประพันธ์ระดับแนวหน้าของฮอลลีวูดหลายคนและได้มีส่วนร่วมในการแต่งและเรียบเรียงดนตรีให้กับเรื่อง Desperate Housewives, Transformers: Dark of the Moon และ Gears of War: Judgment นอกเหนือจาก The Purge แล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ เขายังเพิ่งเสร็จจากงานแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง Friended to Death อีกด้วย
เขาเริ่มต้นทำงานในฮอลลีวูดด้วยการทำงานกับบริษัทออกแบบเสียงภาพยนตร์ในตอนกลางวันและแต่งดนตรีอย่างบ้าคลั่งในตอนกลางคืน ซึ่งมันก็นำไปสู่การแต่งและเรียบเรียงดนตรีให้กับโปรเจ็กต์ภาพยนตร์และเกมมากมาย ซึ่งรวมถึง Pride and Glory, Epic Mickey, Ratchet & Clank Future: A Crack in Time, Your Highness และสองภาคล่าสุดในแฟรนไชส์ Gears of War franchise: Gears of War 3 และ Gears of War: Judgment