เมื่อผู้หญิงเสียสติสามคนต้องเดินทางข้ามรัฐไปเพื่อรักษา แมรี่ บี. คัดดี้ (ฮิลลารี่ สแวงก์) อาสาเป็นคนพาพวกเธอไป จอร์จ บริกส์ (ทอมมี่ ลี โจนส์) ชายที่ต้องโทษพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองรอดชีวิตจากการถูกแขวนคอ ได้ให้คำสัญญากับแมรี่ว่าเขาจะพาผู้หญิงเหล่านั้นไป การเดินทางของทั้งห้าชีวิตที่จะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายและคำสัญญาที่อาจต้องแลกมาด้วยชีวิต
คำถาม & คำตอบ
ทอมมี่ ลี โจนส์
(ผู้อำนวยการสร้าง-ผู้ผลิต-นักแสดงผู้รับบท จอร์จ บริ๊กส์)
เรื่อง The Homesman เกี่ยวกับอะไร?
The Homesman เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงสามคนซึ่งเดินทางโดยรถม้าลากสี่ล้อข้ามอาณาเขตเนบราสก้าในปี 1854 พวกเธอทั้งสามล้วนเสียสติ ทั้งยังต้องพบเจอกับอุปสรรคต่างๆและต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในดินแดนแห่งนี้ หลังจากที่ผมเขียนบทเสร็จ ผมวาดภาพภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นแบบมินิมอลลิสท์ (Minimalist) และจัดองค์ประกอบของภาพให้น้อยที่สุด ผมประทับใจภาคตะวันออกเฉียงเหนือของนิวเม็กซิโก ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์อย่างมาก เพราะมันเหมาะสมการแสดงถึงดินแดนเนบราสก้า สำหรับผมภูมิประเทศเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งกับภาพยนตร์ของเรา
ทำไมคุณถึงมองว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นมินิมอลลิสท์ (Minimalist) ?
เพราะภูมิทัศน์ซึ่งส่วนใหญ่ถูกตัดด้วย”เส้น” ที่เปรียบเหมือนกับการแบ่งระหว่างสวรรค์และโลก และเส้นนั้นมักจะเป็นเส้นตรงซึ่งสามารถสร้างอารมณ์ในสภาพแวดล้อมที่ธรรมชาติ
ทำไมคุณคิดว่าการสำรวจสถานะภาพของผู้หญิงในช่วงกลางศตวรรษที่สิบเก้าของชาวอเมริกันตะวันตกจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ?
ผมคิดว่ามันสำคัญเพราะผมคิดว่ามันเป็นต้นกำเนิดในของสถานะภาพของผู้หญิงในสังคมปัจจุบัน
ใครคือ จอร์จ บริ๊กส์ บทบาทในละครที่คุณแสดง?
จอร์จ บริ๊กส์ เป็นผู้ชายที่หาญกล้า แต่เป็นทหารหนีทัพ-ที่ค่อนข้างรักความอิสระ เขายินดีที่จะช่วยให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอเชื่อว่าสามารถข้ามเขตเนบราสก้าโดยรถม้าสี่ล้อไปกับผู้หญิงบ้าสามคน ความจริงคือเขาตกลงที่จะช่วยเธอออกมาเพราะคิดว่าเธอช่วยเขาออกมาจากสถานการณ์ที่อันตรายมากและเขารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณของเธอ
The Homesman ได้ดัดแปลงมาจากต้นฉบับและเป็นการรวมกลุ่มคนที่ไม่น่าจะเข้ากันได้?
แต่แรกเริ่มพวกเขาต่างไม่ชอบซึ่งกันและกัน แต่เมื่อการเดินทางเริ่มขึ้นพวกเขาเริ่มเรียนรู้ว่าพวกเขาต้องพึ่งพากันและกัน จนในที่สุดพวกเขาถึงเข้าใจซึ่งกันและกัน
คุณนับว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์แนวเวสเทิร์นหรือไม่?
ผมไม่รู้ว่าคำว่า “เวสเทิร์น” มีคำนิยามว่าอย่างไร ผมแค่เริ่มสงสัยว่ามาหลายปีมาแล้วว่า ภาพยนตร์แนว เวสเทิร์น จะต้องประกอบไปด้วย ม้า หรือ หมวกใบใหญ่ และจะต้องเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้เฉพาะศตวรรษที่ 19 หรืออย่างไร และมักจะปรากฎบริเวณชายฝั่งตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี ผมยังเคยอ่านบทวิเคราะห์ของนักวิจารณ์ที่เคยพูดว่าหนังไซไฟบางเรื่องก็กลายเป็นหนังเวสเทิร์นซะนี่ ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วจริงๆว่าความหมายของคำว่า “ภาพยนตร์เวสเทิร์น” คืออะไร
การได้ร่วมงานกับ ฮิลารี่ สแวงค์ เป็นอย่างไรบ้าง?
มันยอดเยี่ยมมากที่ได้ร่วมงานกับ ฮิลารี่ สแวงก์ เธอเตรียมความพร้อมเสมอ มีความสุขในการทำงาน และมีความคิดสร้างสรรค์มาก เธอท่องบทและเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็ว เธอมีความพร้อมเสมอที่จะกลับไปยังจุดเริ่มต้นของทุกๆวัน มันเป็นความสุขที่ได้รู้จัก ฮิลารี่ สแวงก์ และมีความสุขยิ่งกว่าเมื่อได้ร่วมงานกับเธอ
แล้วการได้ร่วมงานกับ เมอริล สตรีป เป็นอย่างไรบ้าง?
สำหรับ เมอริล สตรีป นั้น ไม่จำเป็นต้องมีคำสรรเสริญเพิ่มเติมอีกแล้ว เนื่องจากเธอมีความสมบูรณ์ในตัวของเธอเอง เธอเป็นหนึ่งในนักแสดงคุณภาพที่วงการภาพยนตร์ต้องจารึกไว้ และผมก็มีความสุขมากแทบจะเรียกได้ว่าเธอคือเพื่อนของผมคนหนึ่ง
คุณช่วยบอกถึงตัวตนของ เจมส์ สเปเดอร์ ได้ไหม?
สเปเดอร์ เป็นนักแสดงที่ดีมาก และมีความเป็นเพื่อนที่ดีด้วย เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย และชอบทำให้คนในกองถ่ายตลกเสมอแม้กระทั่งตอนทำงานหรือช่วงพักอยู่ก็ตาม แต่บทที่เขาได้รับในหนังเรื่องนี้นั้น แทบจะไม่มีเค้าตัวตนจริงๆของเจมส์เลยสักนิด
คุณมีความเห็นอย่างไรสำหรับ เฮลี่ สไตน์เฟล?
เฮลี่ เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม ซึ่งความสามารถไปไกลกว่าอายุของเธออีก เธอมีบทบาทเล็กน้อยในภาพยนตร์เรื่องนี้แต่เป็นบทบาทที่สำคัญมากในเรื่องและเธอสามารถทำมันได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่มีข้อติ ไม่ต้องปรุงแต่งใดๆเพิ่มเติม เธอเป็นคนเรียบง่ายและได้รับบทบาทที่เหมาะสมกับเธอมาก สองถึงสามฉากที่เธอปรากฎตัวในภาพยนตร์ จะบ่งบอกถึงคุณภาพในบทบาทที่เธอได้รับอย่างแท้จริง เธอเป็นนักแสดงที่ช่างสังเกตและแสดงได้อย่างไร้ที่ติ
คุณมีการฝึกซ้อมอย่างไรให้กับนักแสดงของคุณถึงบาทบาทที่พวกเขาได้รับ ?
ทุกๆคนจำเป็นต้องรู้ว่าเราควรยืนตรงไหน หรือที่เรียกว่า Blocking และทุกคนต้องมั่นใจว่าตัวเองอยู่ที่ๆถูกต้อง การจดจำบทพูด ต้องรู้ว่ากล้องจะไปทางไหนบ้าง เคลื่อนไหวอย่างไร จะใกล้ชิดกับเราหรือมีระยะแค่ไหน นอกจากนี้การฝึกซ้อมนักแสดงยังสามารถพัฒนาความคิดของวิธีสร้างความสัมพันธ์กับนักแสดงคนอื่นๆ แต่ ทุกๆการซ้อมมีความแตกต่างกันออกไป บางคนต้องซ้อมอย่าหนัก ในขณะที่บางคนไม่ต้องฝึกฝนอะไรมาก บางคนได้รับการฝึกอย่างหนักแต่ก็ไม่สามารถที่จะแสดงได้ดีขึ้น เราจะไม่ใช้การฝึกซ้อมที่ซ้ำไปมา จุดมุ่งหมายของการฝึกซ้อมก็เพื่อเตรียมความพร้อม และการเตรียมความพร้อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เท่าที่ผมเรียนรู้มา
ช่วยบอกเราหน่อยว่าการได้ร่วมงานกับผู้ออกแบบงานสร้าง เมเรดิธ บอสเวล เป็นอย่างไร?
เมเรดิธ เป็นผู้ออกแบบงานสร้างยได้อดเยี่ยมและเธอสามารถออกแบบสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด รวมไปถึงรถลากสี่ล้อในสมัยศตวรรษที่ 19 และเมืองเนบราสก้า เมื่อคุณได้ถ่ายทำจริงๆ คุณจะพบว่ามันงดงามมาก เธอเป็นผู้ออกแบบการผลิตที่ดีที่สุดที่ผมเคยพบ
คำถาม & คำตอบ
ฮิลารี่ สแวงค์
(นักแสดงผู้รับบท แมรี่ บี คัดดี้)
ถ้าให้พูดถึงเรื่อง The Homesman คุณพอจะสรุปอย่างไรสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้
ฉันมองว่าภาพยนตร์เรื่อง The Homesman เป็นเรื่องเกี่ยวกับความกล้าหาญของคนกลุ่มหนึ่งในดินแดนเล็กๆทางตะวันตกของอเมริกา ซึ่งเขาใช้ชีวิตอยู่เรียบง่าย ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในหนังเรื่องนี้ ผู้หญิงสามคนเสียสติ และต้องการให้ผู้ชายคนหนึ่ง ช่วยเหลือพาพวกเขาออกจากเมืองเนแบรสกาไปยังเมืองไอโอว่า ซึ่งเป็นงานที่อันตรายมาก ในบทบาทการแสดงนี้ทำให้ฉันและตัวละครของทอมมี่ ลี โจนส์ ต้องเล่นด้วยกันตลอดทั้งเรื่อง
ทำไมคุณถึงสนใจในบทภาพยนตร์เรื่องนี้?
มันเป็นบทที่สะท้อนให้ฉันกลับไปอยู่กับชีวิตที่เรียบง่ายและความสวยงามของการสื่อสารของมนุษย์ หัวใจที่เจ็บปวด อารมณ์ที่หลากหลายมนุษย์ และมันทำให้ฉันสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง กับคำที่เรียบง่ายและลึกซึ้งรวมไปถึงดนตรีที่ค่อยๆเข้มข้นขึ้นเมื่อเรื่องราวได้ดำเนินไป
คุณช่วยอธิบายถึง แมรี่ บี ในบทบาทที่คุณได้รับให้ฟังหน่อย?
สำหรับฉัน แม่รี่ บี มีความยืดหยุ่น แข็งแกร่ง มีศีลธรรม และเธอมีความศรัทธา เธอไม่กลัวที่จะพูดในสิ่งที่อยู่ในใจของเธอ สำหรับเธอแล้ว ประโยคที่ว่า “อย่ากระทำสิ่งใดกับคนอื่น ถ้าคุณไม่ต้องการได้รับสิ่งนั้นเช่นกัน” อีกอย่างหนึ่งสิ่งที่ฉันรักในตัวแมรี่ บี ก็คือเธอชอบกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ตัวละครของคุณมีสื่อสารกับหญิงสาวเสียสติสามคนอย่างไร?
แมรี่ บี เป็นตัวละครที่รู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้หญิงสามคนนี้ เธอได้ถูกเลี้ยงดูมาด้วยความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่ นั่นทำให้เธอมีที่ปรึกษาที่ดี แต่เธอได้สูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก ดังนั้นการที่เธอได้พบกับหญิงสาวที่ทุกข์ทรมานสามคนนี้ จึงทำให้เธอนึกย้อนไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอและแม่ ซึ่งเสมือนเป็นสิ่งที่รักษาจิตใจของตัวเธอเองด้วย ในการช่วยเหลือหญิงสาวสามคนนี้ เป็นการช่วยเหลือตัวเองด้วยเช่นกัน
การทำงานร่วมกับ ทอมมี่ ลี โจนส์ ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง?
ฉันไม่รู้ว่าจะมีคำใดที่สามารถอธิบายความรู้สึกของฉันต่อทอมมี่ ลี โจนส์ ในทุกๆด้านที่เขามีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยการสร้าง, นักแสดง, คนเขียนบท และการเป็นคนธรรมดาทั่วไป เขาสามารถสร้างความสัมพันธ์กับทีมงานของเขาได้อย่างทั่วถึงและรวมไปถึงบทบาทของนักแสดงของแต่ละคน และสามารถที่จะกระตุ้นนักแสดงเหล่านั้นให้กระตือรือร้นให้เข้าฉากได้อยู่เสมอ เขารู้เสมอว่าเขาจะต้องพูดอย่างไรก่อนที่ฉันจะเข้าฉาก ประสบการณ์การเป็นนักแสดงของเขาได้หยิบยื่นความสามารถทางการกำกับภาพยนตร์ให้กับทอมมี่เป็นอย่างมาก
คุณได้เตรียมความพร้อมสำหรับบทบาทการแสดงนี้อย่างไรบ้าง?
หนึ่งในสิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับการเป็นนักแสดงที่คือมีโอกาสที่ได้ทำในสิ่งที่ฉันไม่เคยทำมาก่อนและในกรณีนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉันสามารถเรียนรู้วิธีการขี่ม้าและรถลาก ดังนั้นฉันจึงใช้เวลาค่อนข้างมากในการอยู่กับม้า ฉันต้องทำให้มันไว้เนื้อเชื่อใจ จนกระทั่งฉันจะได้ขี่มันในที่สุด นี่คือประสบการณ์ใหม่ที่ฉันตั้งตาคอย
การได้รับบทบาทนี้ มันมีความท้าทายความสามารถทางด้านทัศนคติทางกายภาพอย่างไร?
เมื่อคุณทำงานทั้งวันข้างนอก ในขณะที่หิมะตก ท่ามกลางสายฝน ลมแรง ท่ามกลางแสงแดด คุณสามารถตระหนักได้ว่าอากาศมันเปลี่ยนแปลงใหม่ทุกๆชั่วโมง ในตอนท้ายของวัน ฉันได้กลับบ้าน ไปอยู่บนเตียงนอน อาบน้ำร้อน และรับประทานอาหารอุ่นๆ และคุณลองนึกถึงตัวละครเหล่านั้นในเรื่องที่ต้องเผชิญกับอะไรมากมายในทุกๆวันติดต่อกันเป็นสัปดาห์ เดินข้ามทุ่งหญ้า ฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นกับฉันจริงๆแล้วฉันจะเป็นอย่างไร
ฉากไหนที่คุณชอบที่สุดที่สุดในการแสดงเรื่องนี้?
คุณก็รู้ว่าฉันไม่สามารถที่เลือกฉากใดเพียงฉากเดียว แต่ถ้าฉันต้องเลือก ฉากที่ฉันชื่นชอบมันเป็นตอนที่ฉันต้องปลุกบริกส์ขึ้นมาและถามเขาว่าหลังจากนี้ที่เราได้เดินทางไปถึงรัฐไอโอวา แล้วเขาจะทำอะไรต่อ เป็นฉากที่ซาบซึ้งเป็นอย่างมากระหว่างตัวละครสองตัว และการได้ทำงานร่วมกับทอมมี่ ลี โจนส์ ในฉากนี้และได้เห็นการแสดงของเขานั้น คือสิ่งที่ฉันจะไม่ลืมเลย
คำถาม & คำตอบ
ไมเคิล ฟิตซ์เจอรัลด์
(ผู้ควบคุมงานสร้าง)
ทำไมคุณถึงเลือกที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ พอจะบอกความเป็นมากับเราได้ไหม?
หลังจากที่ผมได้ผลิตภาพยนตร์เรื่อง The Three Burials of Melquiades Estrada ของ ทอมมี ลี โจนส์ ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา ผมอยากทำอะไรใหม่ๆกับเขาด้วย วันหนึ่งได้มีโอกาสทานข้าวกลางวันกับ แซม เชพเพิร์ด ซึ่งเขาเป็เพื่อนที่ยอดเยี่ยมมาก ผมได้ถามเขาว่า เราจะทำอะไรดีให้เหมาะกับตัวของ ทอมมี่ ลี โจนส์ เขาตอบทันทีว่า The Homesman ที่ดัดแปลงเรื่องราวมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ เกล็นดอน สเวิร์ส มันเป็นอะไรที่เขาเองก็พยายามที่จะทำมานานหลายปี แต่เขาไม่ได้รับลิขสิทธิ์จากโซนี่ ดังนั้นผมจึงอ่านหนังสือและเห็นด้วยกับเขาว่ามันจะเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับทอมมี่และผมก็มอบมันให้กับเขาและเขาก็รู้สึกตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเรามีเวส โอลิเวอร์ และลูกชายของผม คีรัน ที่เริ่มต้นการทำงานสำหรับบทภาพยนตร์กับทอมมี่ เมื่อสองปีที่แล้ว
คุณรู้จักกับทอมมี่ ลี โจนส์ มานานเท่าไรแล้ว?
ผมรู้จักกับทอมมีมานานมากแล้ว ผมเกือบที่จะได้เขามาแสดงหนังในเรื่อง Wise Blood ในปี 1979 แต่โชคที่ไม่เข้าข้างเราทำให้เราไม่ได้ทำงานด้วยกัน
คุณรู้สึกอย่างไรในฐานะพ่อที่ได้ผลิตหนังเรื่องนี้ โดยมีลูกชายเป็นผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์ด้วย?
ผมจำได้ว่าตอนที่ผมเด็กมากและผมได้พบกับ จอห์น ฮัดซัน นั้น เขาพูดกับผมว่า “คุณรู้ใช่ไหมว่าผมเคยเป็นเด็กตัวเล็กๆในฝูงชน แต่ตอนนี้พอผมหันไปมองรอบๆ ผมกลับกลายเป็นคนที่แก่ที่สุด” นั่นเป็นความจริงที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้ ผมมองไปรอบๆและผมแก่ที่สุดในตอนนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นอะไรที่น่าทึ่งที่เห็นลูกชายของผม ที่อายุยังน้อยและได้มาทำงานตรงนี้
คุณนับว่าภาพยนตร์เรื่อง The Homesman เป็นภาพยนตร์แนวเวสเทิร์นหรือไม่?
จริงๆแล้วเรื่องนี้เกิดขึ้นในโลกตะวันตก แต่มันไม่ได้มาในรูปแบบที่เราเห็นกันประจำในหนังฮอลลีวู้ด อันที่จริงภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 1850 ขณะที่เรื่องราวของเวสเทิร์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในยุค 1880-1890 เมื่อมองถึงหนังเรื่องนี้แล้ว จะเห็นการดำรงชีวิตก่อนที่มันจะกลายมาเป็นเวสเทิร์น ดังนั้นผมจึงไม่ขอเรียกภาพยนตร์นี้ว่ามันคือภาพยนตร์ในยุคเวสเทิร์น ถึงแม้ว่ามันจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เราเชื่อเช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นม้า, ล่อ, รถบรรทุก, เกวียน, ปืน และชนพื้นเมืองอเมริกัน ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ ผมคิดว่า The Homesman เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิถีทางกับมนุษย์ที่สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ ทำอย่างไรที่จะเปลี่ยนคนธรรมดาให้เป็นคนที่น่านับถือ นั่นคือเรื่องราวที่ผมต้องการจะสื่อออกมามากที่สุด
ช่วยพูดถึงนักแสดงและทีมงานให้ฟังหน่อย?
ผมคิดว่าเราได้นักแสดงที่คุณภาพมาร่วมงานกันอย่างคับคั่งและทุกคนก็ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นทำให้ผมรู้สึกภูมิใจมาก และทีมงานส่วนใหญ่เราก็เคยร่วมงานกันมาแล้วในเรื่อง Three Burials
ช่วยเล่าประสบการณ์การทำงานในเมืองนิว เม็กซิโก
ผมพูดตรงๆเลยนะ ถ้าเป็นไปได้ การทำงานในเม็กซิโกในช่วงฤดูใบไม้ผลิเป็นสิ่งที่ผมจะพยายามที่จะไม่ทำมันอีก! (หัวเราะ) ถ้ามันจำเป็นผมจะถ่ายทำในช่วงฤดูร้อนหรือฤดูใบไม้ร่วงเพราะเป็นที่รู้กันดีว่าในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่นิวเม็กซิโกนั้นมีลมแรงมาก สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเราต้องต่อสู้กับทุกอย่างที่เราสามารถทำได้ แต่ในขณะเดียวกันมันยอดเยี่ยมมากที่เราได้ภาพที่สวยงาม และผมก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนในการทำให้เสียงตัวเองกลับคืนมา
เพื่อนเก่าของคุณ จอห์น ฮัดซัน คิดอย่างไรเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง The Homesman?
ผมคิดว่าบางทีเขาอาจจะแอบอิจฉาอยู่เงียบๆที่เราได้เรื่องนี้มาครอง เพราะมันเป็นช่วงเวลาและในโลกที่เขาเคยอาศัยอยู่ และการทำถ่ายทำแนวนี้เป็นเรื่องที่ยากที่จะเสนอออกมาในรูปแบบภาพยนตร์ ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ฮอลลีวู๊ดนั้น หลายๆเรื่องเป็นสิ่งต้องห้ามทั้งนั้น ดังนั้นผมจึงคิดว่าเขาคงจะภูมิใจที่เราได้ทำเรื่องนี้ออกมา
คุณได้สร้างเนแบรสก้าในปี 1850 ออกมาอีกครั้งอย่างไรในวันนี้?
คุณจ้างนักออกแบบการผลิตที่ยอดเยี่ยมที่ คุณจ้างหัวหน้าผู้ดูแลวัสดุอุปกรณ์ สถานที่ ที่ยอดเยี่ยมและ คุณจ้างนักออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม โดยที่คุณมอบหมายหน้าที่ในการค้นคว้า วิจัย และคุณก็พูดแต่คำว่า “ใช่” เท่านั้น เมื่อเขามาเสนออะไรมาให้คุณ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นและแน่นอนผมจ้างนักออกแบบทรงผมและช่างแต่งหน้าที่น่าทึ่งให้นักแสดงทั้งหมดเท่าที่จะทำได้และนั่นคือสิ่งที่เรามี
คำถาม & คำตอบ
เวส โอลิเวอร์ & คีแรน ฟิตซ์เจอรัลด์
(ผู้เขียนบทภาพยนตร์)
ทอมมี ลี โจนส์ ได้กล่าวไว้หลายครั้งว่า นี่คือเรื่องราวของผู้หญิงที่แสร้งทำเป็นภาพยนตร์เวสเทิร์น เรื่องราวที่คุณเขียนเป็นมุมมองของผู้หญิงหรือเปล่า?
คีแรน ฟิตซ์เจอรัลด์: แน่นอน เรามองมันในมุมมองของผู้หญิงด้วย และผมอยากจะกล่าวว่า เราเริ่มค้นคว้าด้วยการศึกษาผู้หญิงในยุคนั้น ทอมมี่ มีหนังสือมากมายเกี่ยวกับภาพถ่ายของผู้ที่มาบุกเบิกและตั้งถิ่นฐานในศตวรรษที่ 19 รูปภาพมากมายและคำศัพท์ต่างๆเหล่านั้น ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่เราเริ่มเขียนบท
เวส โอลิเวอร์: กล่าวว่า “ภาพของแม่รี่ บี ที่สูบน้ำอย่างแข็งขันตรงหน้าบ้านเธอมาจากรูปภาพเหล่านั้น ซึ่งเป็นภาพที่เสมือนเป็นต้นกำเนิดและเป็นแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่องนี้”
คีแรน ฟิตซ์เจอรัลด์: ขั้นตอนต่อไปของเราสองคนคือมีสมาธิไปที่ผู้หญิงคนหนึ่งและเริ่มเขียนเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความทรงจำของเธอ หรื่อที่เรียกว่า “หน่วยความจำ” ที่ทอมมี ได้กล่าวไว้ ซึ่งนี่ทำให้เราสองคนได้เข้าไปอยู่ภายใต้จิตใจของพวกเขาและจะปรากฎในภาพยนตร์หลายตอนไปพร้อมกัน มันช่วยทำให้เราเข้าใจอะไรง่ายขึ้นในภาวะการเอาตัวรอดควบคู่ไปกับการมีชีวิตที่ยากลำบาก รวมไปถึงเหตุการณ์ต่างๆที่นำพาพวกเขาไปสู่ความทุกข์ทรมาน
เวส โอลิเวอร์: และพวกเขาแต่ละคนเสียสติในเหตุผลที่แตกต่างกัน การศึกษาบทบาทของพวกเขาและการเตรียมความพร้อมของแต่ละคนมีที่มาที่แตกต่างกันไป นั่นคือความแตกต่างอย่างชัดเจนของผู้หญิงสามคนนี้ที่ถูกถ่ายทอดออกมา
ฉากไหนที่คุณคิดว่าท้าทายในการเขียนบทมากที่สุด?
คีแรน ฟิตซ์เจอรัลด์: ผมคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดในการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้คือการที่เราต้อง “เติมคำในช่องว่าง” ที่ เกล็นดอน สเวิร์ด ได้หลงเหลืออยู่ในนวนิยายเรื่องนี้อย่างไร บางครั้งเขาแสดงให้เห็นผลโดยไม่ต้องอธิบายสาเหตุหรือขั้นตอนที่นำไปสู่จุดนั้น ดังนั้นเราจึงต้องคิดให้ได้ว่า ในช่วงเวลาที่ภูมิหลังแบบนี้ แต่ไม่ได้มีแนวทางมาให้ในนวนิยาย ยกตัวอย่างเช่นเขาพรรณนาถึงผู้หญิงที่เป็นบ้ามาเป็นระยะเวลานานแล้วโดยที่ไม่ได้อธิบายว่าอะไรนำพาเธอให้เป็นบ้า ดังนั้นเพื่อที่จะทำให้ตัวละครมีความเป็นจริงมากขึ้น เราจึงต้องปะติดปะต่อในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนี้
ฉากไหนที่คุณประทับใจมากที่สุด?
คีแรน ฟิตซ์เจอรัลด์: ผมคิดว่าฉากที่เมอรีล สตรีพ ผู้รับบทเป็น เอลทรา คาร์เตอร์ ได้บอกกับทอมมี (จอร์จ บริกส์) ว่าตัวให้เขาไปใช้ชีวิตของเขาเอง เมื่อเขารู้สึกว่าเขาประสบความสำเร็จในบางสิ่งบางอย่างแล้ว แต่แล้วชีวิตของเขาก็ดูไร้ความหมายขึ้นมาทันที เขาได้เปรียบเหมือนเด็กที่ไร้หนทาง เขาไม่สามารถคิดได้ว่าเขาจะต้องทำอะไรต่อไปต่อไป
เวส โอลิเวอร์: ผมคิดว่าช่วงเวลาที่ผมประทับใจนั้นไม่มีในหนังสือหรือในบท แต่เป็นช่วงที่แมรี่ บี กำลังขี่รถลากแล้วไปเจอบริ๊กส์ที่ถูกแขวนอยู่บนต้นไม้ในขณะที่เขายังคงนั่งอยุ่บนหลังม้า ใบหน้าของบริ๊กที่ปกคลุมไปด้วยเขม่าดินปืน ใส่ชุดทหาร และพยายามที่จะไม่ขยับเขยื้อนเพราะกลัวว่าม้าจะวิ่งไป สำหรับผม มันเป็นฉากที่สำคัญและเป็นมันเป็นฉากของวันที่สองของการถ่ายทำ
ผมเข้าใจว่าคุณเริ่มทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อ ทอมมี่และเมอรีลกำลังถ่ายทำเรื่อง Hope Springs ด้วยกันอยู่?
คีแรน ฟิตซ์เจอรัลด์: ใช่แล้ว พวกเขากำลังถ่ายทำเรื่อง Hope Springs อยู่ในรัฐคอนเนตทิคัต และในขณะที่เขากำลังฉ่ายฉากหนึ่งของหนังเรื่องนั้น เราก็มานั่งเขียนเรื่อง The Homesman ผมคิดว่ามันกระตุ้นและทำให้เราขะมักเขม้นในกระบวนการเขียนยิ่งขึ้น เราถูกล้อมรอบด้วยทีมงานภาพยนตร์และความตื่นเต้นของภาพยนตร์ที่ตอนนี้เราได้เริ่มกระบวนการของภาพยนตร์เรื่องใหม่แล้ว
เวส โอลิเวอร์: เราใช้เวลา 5 วันเต็มที่ร่างบทหนังดราฟท์แรกจนแล้วเสร็จ ผมจำได้ว่า เราตื่นแต่เช้าเพื่อมาเขียนและเข้านอนตอนดึก มันเป็นการใช้เวลา 5 วันที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตเขาเลย
เนื้อเรื่องในหนังสือ ระบุว่ามีผู้หญิง 4 คน แต่ในหนังกลับมีแค่ 3 คน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
ผมคิดว่าการเดินทางซึ่งประกอบไปด้วยผู้หญิง 4 คน บนรถบรรทุกม้าล้อลาก มันเป็นอะไรที่เราคิดว่าไม่เหมาะ การที่จะสร้างคาแรกเตอร์ผู้หญิงเสียสติถึง 4 คนแทนที่จะเป็น 3 มันกลายเรื่องราวที่ยืดเยื้อจนเราคิดว่ามันไม่น่าจะใช่ ดังนั้นเราจึงลดลงให้เหลือแค่ 3 คน เพื่อที่เรื่องราวจะได้โฟกัสไปที่ตัวละครหลัก 2 ตัว ที่ต้องเลี้ยงดูผู้หญิงเสียสติทั้งสาม
คุณคิดว่าผู้หญิงและผู้ชายในปัจจุบันจะเชื่อมโยงกับภาพยนตร์เรื่องนี้ในยุค 1850 อย่างไร?
เวส โอลิเวอร์: ผมคิดว่าสถานะภาพของมนุษย์มีความเหมือนกัน เวลาได้เปลี่ยนไป, ขนบธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลง และตัวละครในเรื่องนี้ไม่มีการดูแลสุขภาพหรือรับสารอาหารที่เพียงพอต่อร่างกาย แต่มนุษย์ทุกคนต่างทนทุกข์และประสบความทุกข์ทรมานบ่อยๆ โดยที่เราไม่เคยได้เหลียวแลเลยจริงๆว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร ทำไมมันถึงเกิดขึ้น
คีแรน ฟิตซ์เจอรัลด์: ผมเห็นด้วยกับโอลิเวอร์และผมอยากจะเพิ่มเติมเรื่องสภาวะทางอารมณ์และความโดดเดี่ยวของสภาพจิตใจและสภาวะผิดปกติที่เราได้ถ่ายทอดออกมาใน The Homesman ที่เป็นส่วนหนึ่งของโลกสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี โลกในยุคดิจิตอลนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวของคนที่สิ้นหวังมากขึ้นแม้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารอย่างทุกวันนี้มากขึ้นด้วยก็ตาม และผมคิดว่าเรื่องราวของแมรี่ บี เป็นเรื่องราวของคนที่ล้มเหลวในการหาคนสนิทมิตรที่คุ้นเคยเพื่อที่จะคอยรักษาจิตใจของตัวเธอเองด้วย
เกี่ยวกับนักแสดง
ทอมมี่ ลี โจนส์ รับบท จอร์จ บริกส์
ทอมมี่ ลี โจนส์ แสดงในภาพยนตร์เรื่องแรกชื่อว่า Love Story หลังจากนั้นเขาก็มีผลงานอย่างต่อเนื่อง อย่าง Stormy Monday, The Package, JFK, Under Siege, The Fugitive, Heaven and Earth, The Client, Natural Born Killers, Blue Sky, Cobb, Batman Forever, Men In Black, U.S. Marshalls, Double Jeopardy, Rules of Engagement, Space Cowboys, Men in Black 2, The Hunted, The Missing, The Three Burials of Melquiades Estrada, A Prairie Home Companion, In the Electric Mist, The Company Men, Captain America: The First Avenger, Men in Black 3, Hope Springs, The Emperor และเรื่อง The Family
เมื่อเร็วๆนี้เขาได้รับบทบาทของ แธดเดียส สตีเวนส์ ในหนังของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เรื่อง Lincoln สำหรับเรื่องนี้ โจนส์ได้รับรางวัล The Screen Actors Guild Award สาขานักแสดงชายสมทบยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award, BAFTA Award, Golden Globe Award และ Critics’ Choice Award จากภาพยนตร์เรื่อง Lincoln ทอมมี่ ลี โจนส์ ได้รับรางวัลนักแสดงชายสมทบยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ในบทบาทของนายตำรวจชื่อดังในภาพยนตร์ติดชาร์ตบ๊อกออฟฟิตในเรื่อง The Fugitive เมื่อปี 1994 และทำให้เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงชายสมทบยอดเยี่ยม สามปีก่อนหน้านี้ โจนส์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งแรกในบท เคล์ย ชอร์ ในเรื่อง JFK ของผู้กำกับโอลิเวอร์ สโตนส์
ในปี 2007 โจนส์ได้รับการยกย่องในภาพยนตร์ In the Valley of Elah ซึ่งเขาได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
ในปี 2005 โจนส์ได้มีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่อง The Three Burials of Melquiades Estrada ในฐานะผู้อำนวยการสร้างและกำกับ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเลือกให้เปิดตัวในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานน์ในปี 2005 และเรื่องนี้เขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและ กริลเลโม อาเรียกา ได้รับรางวัลสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำและ ได้รับรางวัล Independent Spirit Award ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, กำกับภาพยอดเยี่ยม และนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม
ฮิลารี่ สแวงค์ รับบท แมรี่ บี. คัดดี้
นักแสดงและโปรดิวเซอร์นามว่า ฮิลารี สแวงค์ นั้นมีความสามารถหลากหลายในการแสดงมานานกว่า 20 ปีในแวดวงภาพยนตร์ สแวงค์มีโอกาสได้ทำงานร่วมกับผู้สร้างภาพยนตร์ชั้นนำ อาทิเช่น คลินต์ อีสต์วู้ด, คริสโตเฟอร์ โนแลน, ไมรา แนร์, ริชาร์ด เลอกราเวเนส, แกรี่ มาร์แชลล์, ฟิลิป นอยซ์, ไบรอัน เดอ พัลมา และแซม เรมี
สแวงค์ทำงานในฐานะนักแสดงภาพยนตร์และละครโทรทัศน์มากกว่าทศวรรษ ซึ่งเธอได้แจ้งเกิดในบทบาท แบรนดอน ทีน่า จากภาพยนตร์เรื่อง Boys Don’t Cry ทำให้เธอได้รับรางวัลออสก้าร์ จากสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และการแสดงเรื่องนี้ยังทำให้เธอได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ Critics’ Choice Award รวมไปถึงรางวัลจากเวที New York Film Critics, Los Angeles Film Critics, Chicago Film Critics, และ National Society of Film Critics Awards และเธอยังได้รับรางวัลจากเวทีบริติช ฟิล์ม อคาเดมี อวอร์ด (BAFTA) เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจากเวที Screen Actors Guild (SAG) Award®
ในปี 2005 เธอได้รับรางวัลที่ 2 บนเวทีออสการ์ จากผลงานร่วมกันอย่าง คลินต์ อีสต์วู้ด ได้รับรางวัลออสการ์ในเรื่อง Million Dollar Baby นอกจากนี้เธอยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำเป็นครั้งที่สองและรางวัลแซกอวอร์ดส รวมไปถึงรางวัลจากเวทีอื่นๆได้แก่ National Society of Film Critics และ Critics’ Choice Awards
นอกจากนี้เธอยังมีส่วนร่วมในฐานะโปรดิวเซอร์จาก ภาพยนตร์ 3 เรื่องได้แก่ Conviction ซึ่งสแวงค์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแซกอวอร์ดส ต่อมาคือหนังเรื่อง Ameria ของ ไมรา แนร์ ซึ่งเป็นเรื่องราวตำนานของนักบิน และเรื่อง Freedom Writers ของผู้กำกับ ริชาร์ด เลอกราเวเนส
นอกจาก นั้นยังเคยแสดงภาพยนตร์เรื่อง Insomnia ของผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลน ภาพยนตร์โรแมนติกดราม่าของ ริชาร์ด เลอกราเวเนส เรื่อง P.S. I Love You แรงบันดาลใจของ ฟิลิป นอยซ์ จากเรื่อง Mary and Martha The Black Dahlia ของไบรอัน เดอ พัลมา หนังสยองขวัญของแซม เรมี เรื่อง The Affair of the Necklace เรื่อง The Gift หนังผจญภัยของผู้กำกับ สตีเว่น ฮอป์กินส์ The Reaping ผลิตโดยโจแอล ซิลเวอร์ และ เรื่อง New Year’s Eve ของ แกรี่ มาร์แชลล์